ยามนี้ เริ่มมีกระแสลมหนาวพัดเข้ามาพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ บ้างแล้ว ทำให้สภาพอากาศโดยทั่วไปเย็นสบาย สดชื่นยิ่งนัก
จึงเป็นที่หมายปองของบรรดานักท่องเที่ยว ซึ่งชื่นชอบ อากาศหนาว เดินทางเข้ามาดื่มด่ำสัมผัสธรรมชาติอันสวยงาม บนยอดเขา หรือ พื้นราบ อย่างต่อเนื่อง
วันนี้ขอแนะนำไปเที่ยวตัวเมืองเมืองอำนาจเจริญ เพียง 1 วันครบทุกที่ ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับศาสนาเป็นหลักและธรรมชาติที่สวยงามตามแบบฉบับภาคอีสาน โดยเริ่มต้นที่สี่แยกไฟแดงใจกลางเมืองอำนาจเจริญ(หอนาฬิกา) มุ่งหน้าทางทิศเหนือถนนชยางกูร(อำนาจ-มุกดาหาร) ระยะทาง 3 กิโลเมตร ก่อนถึงศาลากลาง จ.อำนาจเจริญ ด้านซ้ายมือจะพบเห็นป้ายพุทธอุทยาน ซึ่งภายในประดิษฐานองค์พระมงคลมิ่งเมือง อยู่บนลานหินดาน แบบปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 11 เมตร สูง 20 เมตร โครงสร้างเป็คอนกรีตเสริมเหล็ก ผิวนอกฉาบปูนด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองพุทธลักษณะตามอิทธิพลของศิลปะอินเดียเหนือแคว้นปาละ ซึ่งได้แผ่อิทธิพลมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เมื่อพุทธศตวรรษที่ 13-16 ก่อสร้างแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2508 เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองอำนาจเจริญ โดยเฉพาะในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันมาฆบูชา ชาวอำนาจเจริญจะร่วมกันจัดงานนมัสการพระมงคลมิ่งเมือง เป็นประจำทุกปี
นอกจากนี้ด้านหลังองค์พระมงคลมิ่งเมือง จะเป็นเขาดานพระบาท มีลักษณะเป็นลานหินธรรมชาติ สูงจากพื้นดินเป็นตอนๆเป็นที่ประดิษฐานองค์พระละฮาย 2 องค์ หรือพระขี้ล่าย ภาษาอีสาน แปลว่า ไม่สวยงาม เป็นพระพุทธรูปสลักด้วยหินทราย สีแดง 2 องค์ ยังสลักไม่แล้วเสร็จ ขุดได้จากอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน อยู่ตรงข้าม พระมงคลมิ่งเมือง เมื่อครั้งก่อสร้างอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน กว่าจะนำขึ้นมาได้ต้องทำพิธีอัญเชิญขึ้นมาอยู่ 3 วัน เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ อายุหลายร้อยปี ซึ่งบรรดานักเสี่ยงโชคศรัทธานับถือมาก
สำหรับสวนมิ่งเมืองเฉลิมพระเกียรติฯ ตั้งอยู่ที่ ต.บุ่ง อ.เมืองอำนาจเจริญ ภายในเนื้อที่ 35 ไร่เศษ เป็นที่ตั้งของศาลหลักเมือง อันสวยงาม ซึ่ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จพระราชดำเนิน เปิดศาลหลักเมือง เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2544 เพื่อเป็นสถานที่สักการบูชา ยึดเหนี่ยวจิตใจ พักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกายด้วย
จากนั้นวกเข้าตัวเมืองอำนาจเจริญอีกครั้งก่อนถึงไฟแดงใจกลางเมืองอำนาจเจริญควรแวะที่วัดสำราญนิเวศ พระอารามหลวง เพื่อนมัสการพระสังกัจจายน์ ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารสวยงาม ซึ่งพระสังกัจจายน์ หน้าตักกว้าง 6 เมตร สูง 10 เมตร โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ผิวนอกฉาบปูน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีทองภายในบรรจุพระเครื่อง จำนวน 84,000 องค์ ทั้งนี้ พระสังกัจจายน์ เป็นพระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเลิศ และก่อนจากไปควรแวะฟังธรรมเทศนาจากพระวิชัย มุณี เจ้าคณะอำเภอเมืองอำนาจเจริญ ฝ่ายธรรมยุติซึ่งท่านจะเทศน์สั่งสอนให้เป็นคนดี อยู่ในศีลธรรม ชีวิตจะได้มีความสุข
ส่วนวัดถ้ำแสงเพชร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ห่างตัวเมืองอำนาจเจริญ 15 กิโลเมตร ไปตามถนนอรุณประเสริฐ(สายหลัก) ก็จะพบเห็นป้ายบอกทางเข้าและเข้าถนนย่อยอีก 3 กิโลเมตร ก็จะมองเห็นเจดีย์สีทองคล้ายเจดีย์ จ.นครปฐม ตั้งอยู่บนยอดเขาเด่นสวยงามมาก ท่ามกลางแมกไม้ป่าไม้นานาพันธุ์อยู่โดยรอบ
เมื่อขับรถถึงยอดภูเขาขาม ด้วยทางขึ้นถนนลาดยางสะดวกปลอดภัย เพราะมีป้ายบอกการขับขี่ขึ้นเขาเป็นระยะๆ ก็จะพบเห็น มหาวิหาร หรือ ศาลาพันห้อง ด้านล่างจะทำเป็นที่กักเก็บน้ำฝน เพื่อไม่ให้ขาดแคลนน้ำ ตามด้วยพระพุทธรูปปางไสยาสน์และเจดีย์ สูงประมาณ 20 เมตร ภายในมีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้ง หลวงปู่ชา ภูริทัตโต และภาพวาดบนฝาผนังหลวงปู่ชา เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้ และได้ศึกษาวัตรปฏิบัติที่ดีงามเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
จากนั้นลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆท่ามกลางป่าไม้หนาแน่นปกคลุมและสายลมพัดกระทบกายตลอดเวลา ขับกล่อมบรรเลงด้วยเสียงนกกา จักจั่นเรไร อย่างเพลิดเพลิน ราว 700 เมตรจากยอดเขาก็จะเป็นถ้ำแสงเพชร ประดิษฐานพระพุทธรูป ตามตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งกษัตริย์ประเทศลาวทำสงครามและรบแพ้จึงได้พามเหสีโอรสและธิดาหนีภัยสงครามข้ามแม่น้ำโขงขึ้นฝั่งไทยมาหลบซ่อนที่ถ้ำแห่งนี้ และนำทรัพย์สินเพชรทองพลอยมาด้วย ก่อนสิ้นพระชนม์เพราะไข้ป่า ได้ฝังทองเพชรพลอยต่างๆ ไว้ด้วย เวลาชาวบ้านออกมาล่าสัตว์หาของป่าและพักค้างคืน ก็จะพบเห็นประกายเพชรระยิบระยับออกมาจากถ้ำ ซึ่งชาวบ้านก็ไม่กล้าเข้าไปค้นหาสมบัติ เพราะมีเจ้าป่าเจ้าเขาคุ้มครองรักษาอยู่ ชาวบ้านบางคนโลภเข้ามาขุดหาสมบัติ ก็จะล้มป่วยและเสียชีวิต จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปหาสมบัติจวบจนทุกวันนี้และเป็นที่มาของ ถ้ำแสงเพชร
ต่อมา ก็จะเป็นถ้ำโคนอน ตั้งอยู่ชั้นล่าง โดยมีรูปปั้นโค 2 ตัวนอนอยู่ปากถ้ำ ว่ากันว่า สมัยก่อนเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงโคป่า และใกล้กันก็จะเป็นถ้ำค้างคาว ปากถ้ำกว้าง 1 เมตร เมื่อใช้ไฟส่องบนผนังถ้ำก็จะพบเห็นค้างค้าวเกาะอยู่เต็มไปหมด ซึ่งก็อบอวลไปด้วยกลิ่นมูลค้าวคาว จนแทบอาเจียน
ก่อนลงจากเขาขาม ห่างถ้ำค้างคาว เพียง 20 เมตร ก็จะพบเห็นถ้ำพระ ซึ่งมีพระพุทธรูปปางสมาธิประดิษฐานอยู่พร้อมปัญจวัคคีทั้ง 5 และกราบขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล
จากนั้นมุ่งสู่วนอุทยานภูสิงห์ ภูผาผึ้ง ตั้งอยู่บ้านป๋าเจริญ ต.สร้างนกทา ห่างไป 3 กิโลเมตร อยู่เส้นทางเดียวกัน ก็จะพบป้ายบอกทางเข้าวนอุทยานฯ และเข้าถนนย่อยอีก 2 กม.ก็จะเห็นป้ายที่ทำการวนอุทยานภูสิงห์ ภูผาผึ้ง ซึ่งภายในเนื้อที่ 12,000 ไร่ จะได้สัมผัสแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติสวยงาม เช่น น้ำตก ลานหิน ผาส่องผาผึ้ง อ่างกบ ตะพาบหิน ทุ่งดอกหญ้า พระพุทธรูป ที่ชื่อว่า พระรัตนโกสินทร์เป็นต้น โดยเฉพาะช่วงนี้ อากาศบนยอดเขากำลังหนาวเย็น เหมาะสำหรับ เดินขึ้นเขา เพราะไม่ร้อน เย็นสบาย ทำให้ไม่เหนื่อย โดยมีลานบริการท่องเที่ยว ให้กางเต็นท์นอน ในยามค่ำคืน นอนนับดาว ชมดวงดาว ชมแสงจันทร์ ท่ามกลางสายลมหนาวพัดกระทบกายตลอดเวลา แสนจะโรแมนติกยิ่งนัก จะทำให้ประทับใจไปอีกนาน...
สนธยา ทิพย์อุตร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี