“เสี่ยหนู” ฟุ้ง 3 เดือน นโยบายกัญชาเพื่อการรักษาโรคคืบหน้าเป็นรูปธรรมน่าพอใจหลายโรงพยาบาลใช้รักษาโรคเปิดคลินิกเฉพาะ แจงนโยบายปลูกบ้านละ 6 ต้น ไม่ได้ทิ้ง หลังดันเข้าสภาแก้กฎหมายแล้ว ถือว่าเริ่มนับหนึ่ง ยันเดินหน้าเต็มสูบ แต่ต้องรอบคอบ
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุขเปิดเผยความคืบหน้าการใช้กัญชาทางการแพทย์ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของพรรคภูมิใจไทยว่า ได้ผลักดันนโยบายนี้ 3 เดือนเต็ม ผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจ ทำให้กัญชาจากต้องอยู่ใต้ดินขึ้นมาบนดิน เห็นได้จากหลายโรงพยาบาลมีคลินิคกัญชา ให้บริการใช้กัญชารักษาโรค องค์การเภสัชกรรม มีสารสกัดจากกัญชา ส่งไปหลายโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อใช้รักษาประชาชน สำหรับโรงพยาบาลเอกชนที่สนใจประสานขอใช้สารสกัดกัญชาเพื่อรักษามาได้เช่นกัน แต่แพทย์ที่จ่ายยาต้องผ่านการอบรมเคร่งครัด
นอกจากนั้น หมอพื้นบ้าน มีโอกาสนำสูตรยากัญชามาขึ้นทะเบียน ระหว่างใช้รักษา ได้จดบันทึกผลการรักษาอยู่ตลอด
“นี่คือผลเป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้น เป็นความพยายามเปลี่ยนกัญชาจากผู้ร้ายให้เป็นพระเอก ส่วนกัญชง ได้ออกประกาศ ให้ขึ้นมาอยู่บนดินแล้ว เราพยายามทำอย่างเต็มที่”นายอนุทินกล่าว
และชี้แจงต่อถึงนโยบายปลูกกัญชาครัวเรือนละ 6 ต้น อีกหนึ่งนโยบายที่พรรคเคยหาเสียงไว้นั้น จำเป็นต้องแก้กฎหมาย เพราะเรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องใช้ทางการแพทย์ ที่ใช้อำนาจของรัฐมนตรีแก้ไขได้เลย แต่นโยบาย 6 ต้น เกี่ยวพันหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ต้องแก้กฎหมายผ่านสภา ซึ่งนำกฎหมายเข้าไปแล้ว 2 ฉบับ นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ผู้แทนราษฎรมารับเรื่องด้วยตนเอง เท่ากับนับ 1 แล้ว จากนี้กระบวนการจะเป็นไปตามขั้นตอน ยืนยันว่าเราเดินหน้าอย่างรัดกุมรอบคอบ มีเรื่องต้องพิจารณามากมาย ยืนยันเราลุยแน่ ขอให้ใจเย็น
นายอนุทินกล่าวอีกว่า เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ เพราะหากทำนโยบายกัญชาแบบไม่รอบคอบ ปล่อยให้ประชาชนพกสารสกัดกัญชาไปไหนมาไหน แล้วพกไปต่างประเทศแบบไม่มีความรู้ เผลอนำเข้าไปในประเทศที่ยังให้กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ถ้าถูกจับได้ แม้จะอธิบายว่าไม่ตั้งใจ แต่ก็ต้องโดนโทษหนักมาก ถ้าเราไม่อยากเห็นเหตุการณ์แบบนี้ มันต้องทำนโยบาย และวางมาตรการอย่างรอบคอบที่สุด ขอย้ำว่า ถึงจะยาก แต่พรรคภูมิใจไทยต้องพยายามทำให้สำเร็จ
นายอนุทิน กล่าวย้ำด้วยว่า นโยบายกัญชาหลักใหญ่คือ ต้องเป็นไปเพื่อการรักษาโรค เมื่อทำสำเร็จ กัญชากลายเป็นพระเอก การดำเนินนโยบายต่อไปจะง่ายทันที ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ นโยบายนี้ ไม่ใช่แค่ฝ่ายการเมืองขยับ แต่ข้าราชการก็ทำงานเต็มที่ ไม่มีเกียร์ว่าง เพราะรัฐมนตรีมาด้วยความวางใจของประชาชน ต้องตอบแทนประชาชน ต้องทำงาน ให้เกิดผลจับต้องได้ โดยอาศัยการขับเคลื่อนของข้าราชการอีกต่อหนึ่ง ดังนั้น จึงไม่มีข้าราชการที่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามแน่นอน
ด้านนพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (เลขาฯอย.) แถลงว่า เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลิตภัณฑ์จากกัญชง คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ จึงออกประกาศคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เรื่อง กำหนดลักษณะกัญชง (Hemp) พ.ศ.2562 กำหนดให้กัญชงและเมล็ดพันธุ์รับรองมีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol : THC) ในใบและช่อดอก ไม่เกินร้อยละ 1.0 ต่อ น้ำหนักแห้ง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาสายพันธุ์กัญชง โดยเฉพาะพันธุ์พื้นเมือง เปิดกว้างให้เกิดการใช้ประโยชน์กัญชงอย่างคุ้มค่า นอกเหนือจากเส้นใย เพื่อนำไปผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ
รวมถึงการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเส้นใย สิ่งทอ ฉนวนกันความร้อน ทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ให้ประชาชน ซึ่งประกาศคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม แล้ว และ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป
พร้อมกันนี้ อย.นำ (ร่าง) กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง(Hemp)เปิดรับฟังความคิดเห็น จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านเว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม-5 พฤศจิกายน 2562 และ จะจัดประชุมรับฟังความเห็นวันที่ 1 พฤศจิกายน เวลา 09.30 น.ที่สำนักงาน อย.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี