“อดีตเป็นเรื่องบอกปัจจุบันและอนาคต” ข้อความนี้ผ่านหูผ่านตาผมมานาน และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นจริง เพราะเรื่องราวของอดีตมักจะส่งผลมาถึงปัจจุบันและสะท้อนไปถึงอนาคตบ่อยครั้ง
การพัฒนาทางการเกษตรก็เช่นกัน หากพิจารณาการเกิดขึ้นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตั้งแต่เริ่มแรกในชื่อต่างๆ นับเป็นเวลามากกว่า 125 ปี การพัฒนาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในแต่ละช่วงเวลา ส่งผลต่อการพัฒนาการเกษตรของประเทศไทยมาโดยตลอด ช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 สำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว เป็นกระทรวงที่เกิดขึ้นมาก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีหน่วยงานภายใต้ในระดับกรมที่สำคัญมารองรับการปฏิบัติในขณะนั้นอยู่แล้ว ต่อมาในปี 2486 เริ่มมีแนวคิดที่จะปรับเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาการเกษตร ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการพัฒนาการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการเพิ่มศักยภาพการผลิตเพิ่มผลผลิต เพื่อนำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ จึงเริ่มนำเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่มาใช้ เริ่มมีการทำการวิจัย ศึกษา ค้นคว้าอย่างจริงจัง เพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับระบบการเกษตรของประเทศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จึงเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อทำหน้าที่ในการผลิตบุคลากรทางการเกษตรมาป้อนให้กับเป้าหมายการพัฒนาการเกษตรในขณะนั้น
ในช่วงเวลากว่า 20 ปีนั้น ประเทศไทยทุ่มเทด้านการวิจัยและพัฒนาทางการเกษตรสมัยใหม่อย่างหนักและต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยที่เปิดสอนทางด้านการเกษตรและเทคโลยีที่เกี่ยวข้อง เห็นความจำเป็นในการส่งต่อองค์ความรู้เหล่านี้ลงไปสู่เกษตรกรให้ได้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรับผิดชอบงานดังกล่าว จึงปรับตัวเองอีกครั้ง เพื่อให้งานวิจัยและพัฒนาสำหรับการทำการเกษตรสมัยใหม่สามารถถ่ายทอดไปสู่เกษตรกรอย่างเกิดผลเป็นรูปธรรม หน่วยงานที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดองค์ความรู้เหล่านี้จึงเกิดขึ้น รวมงานประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ ฝึกอบรม ทุกลักษณะของกรม/กองต่างๆ ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยุคนั้น จัดตั้งกรมส่งเสริมการเกษตรขึ้น เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2510 เพื่อทำหน้าที่ในการนำองค์ความรู้จากทุกหน่วยงานที่ทำงานวิจัยและพัฒนาไปถ่ายทอดให้กับเกษตรกรนำไปปฏิบัติให้เห็นผล สร้างผลผลิตให้สูงขึ้นตรงกับความต้องการของตลาดทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ หลังจากการเกิดขึ้นของกรมส่งเสริมการเกษตร 9 ปี มีการขยายผลของการส่งเสริมการเกษตรให้กว้างขวางมากขึ้น ด้วยการกู้เงินจากธนาคารโลก จำนวน 3,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเยอะมากในยุคนั้น มาเพื่อดำเนินการเรื่องนี้โดยเฉพาะ มีการขยายอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร ขยายรูปแบบ ขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ จังหวัด และภาคทำงานสอดประสานกัน ภายใต้ระบบ Training and visiting ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าเมื่อมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากแหล่งวิจัยต่างๆ ให้กับเกษตรกรแล้ว เกษตรกรจะสามารถนำไปพัฒนาระบบการผลิตของตนให้ได้ตามเป้าหมาย มีการประเมินผลและการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมทั้งมีความพยายามอีกหลายๆทาง เพื่อพัฒนาเกษตรกรให้มีความอยู่ดีกินดี มีความมั่นคงในอาชีพ นโยบายต่างๆ มุ่งไปยังจุดเดียวกัน ส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมีโอกาส มีการทำแปลงสาธิต อบรมให้เข้าร่วมงาน ดูงาน หรือแม้แต่คัดเลือกเกษตรกรผู้นำ (CoF) โดยยึดหลักให้เกษตรกรผู้นำเป็นผู้ช่วยของนักส่งเสริมการเกษตรในระดับพื้นที่ การคัดเลือกเกษตรกรผู้นำในยุคนั้น เป็นเกษตรกรที่มาจากคำถามว่า หากเกิดปัญหาทางเกษตรขึ้นภายในหมู่บ้าน ใครคือผู้ที่เกษตรกรเข้ามาสอบถามปัญหาหรือขอคำปรึกษามากที่สุด ผู้นั้นก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเกษตรกรผู้นำ เพื่อให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และเกิดผลดีที่สุด
เวลาผ่านไปจากจุดนั้นราว 10-15 ปี เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านนโยบายและอื่นๆ ที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในการวางตำแหน่งของนักส่งเสริมการเกษตร มีการนำนักส่งเสริมการเกษตรไปใช้ในงานอื่นๆที่ไม่ใช่งานการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตร กลายเป็นเครื่องมือในการทำงานของนักการเมืองแทน งานพัฒนาการเกษตรของประเทศที่ผิดไปจากกรอบและหลักการทางวิชาการที่ชัดเจนจึงเริ่มต้นและขยายวงไปอย่างรวดเร็ว เกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ขอคุยต่อตอนหน้าครับ
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี