เชียงรายเตรียมรับมือไฟป่า ส่งฟ้องศาลแล้ว17รายฝ่าฝืนห้ามเผา
5 พฤศจิกายน 2562 ที่ห้องประชุมจอมกิตติ ศาลากลาง จ.เชียงราย พล.ท.ฉลองชัย ชัยยะคำ แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 3 , นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ในฐานะผู้อำนวยการ กอ.รมน.เชียงราย ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมรับปัญหาไฟป่าและหมอกควันที่มักจะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงฤดูแล้งปลายปีไปจนถึงต้นปี
โดยในครั้งนี้ จ.เชียงราย ได้มีการสรุปบทเรียนจากเหตุการณ์เมื่อช่วงเดือน ก.พ.-พ.ค.2562 ที่ผ่านมาว่าเกิดจากการสะสมของเชื้อไฟที่ทับทมกันนานกว่า 2 ปี ตั้งแต่ปี 2559 ที่เคยเกิดจุดความร้อนหรือฮอตสปอตขึ้น 900 จุด และปี 2560 เกิดขึ้น 19 จุด ปี 2561 เกิดขึ้น 17 จุด กระทั่งปี 2562 เกิดภาวะอากาศร้อนและฝนทิ้งช่วงนานกว่า 5-6 เดือน จึงทำให้ช่วงก่อนประกาศห้ามเผากว่า 836 จุด ระหว่างประกาศจำนวน 8,043 จุดและหลังจากนั้นเกิดขึ้นอีก 2,061 จุด มีพื้นที่ที่ถูกเผารวมกันทั้งหมด 103,000 ไร่ มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บจำนวนมาก และจับกุมดำเนินคดีผู้เผาจำนวน 74 คน ส่งฟ้องศาลแล้วจำนวน 17 ราย
นายประจญ กล่าวว่าในปี 2562-2563 ทางจังหวัดได้อาศัยประสบการณ์ ที่ผ่านๆ มาจัดวางแผนรองรับโดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือระยะเตรียมพร้อมเริ่มต้นกันตั้งแต่เนิ่นๆ ห้วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.2562 โดยมีการประชุมซักซ้อมความเข้าใจในมาตรการ ออกประกาศให้เฝ้าระวังล่วงหน้า ทำป้ายประชาสัมพันธ์วางแผนจัดวางกำลังตามจุดต่างๆ ฯลฯ โดยในระดับจังหวัดมีการตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์และแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ณ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จ.เชียงราย และให้นายอำเภอทั้ง 18 อำเภอตั้งศูนย์บัญชาการฯ ทุกอำเภอ และที่สำคัญในปีนี้คือให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้ง 143 แห่งที่เป็นหัวใจของท้องถิ่นที่สามารถเข้าถึงทุกตำบลและหมู่บ้านได้
“นอกจากนี้ยังเตรียมการในช่วงเผชิญเหตุระหว่างเดือน ม.ค.-เม.ย.2563 โดยย้ายศูนย์บัญชาการระดับจังหวัดไปยังห้องประชุมคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย และตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) ตั้งศูนย์ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์ที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.เชียงราย ประชาสัมพันธ์และผลิตสื่อผ่านทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) เชียงราย อย่างต่อเนื่อง ให้แต่ละอำเภอจัดชุดลาดตระเวน ชุดปฏิบัติการดับไฟป่า ทั้ง 124 ตำบล กรณีเกิดไฟป่ารุนแรงให้มีคำสั่งตั้งชุดปฏิบัติการ 4 ฝ่ายคือทหาร อุทยานแห่งชาติป่าไม้และฝ่ายปกครอง เข้าไปดำเนินการได้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีระยะฟื้นฟูห้วงตั้งแต่เดือน พ.ค.-ก.ย.2563 โดยตั้งงบประมาณดำเนินการ 34,477,300 บาท” นายประจญ กล่าว
ด้าน พล.ท.ฉลองชัย กล่าวว่า ตนได้จัดประชุมเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำปางไปแล้ว จึงทำให้ได้รับทราบแผนของทั้ง 3 จังหวัด ซึ่งก็จะได้นำไปสู่การปฏิบัติการเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดการเผาไหม้ลุกลามอย่างหนัก และจากโครงสร้างการบริหารจัดการนั้นคณะกรรมการแก้ไขปัญหาระดับชาติมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธาน และระดับภาคให้แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธาน ส่วนระดับจังหวัดแต่ละจังหวัดก็มีหน้าที่ในการจัดทำแผนปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งในปีนี้ได้มีการหารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เอาไว้แล้วเชื่อว่าจะทำให้การดำเนินการดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอนโดยเฉพาะด้านงบประมาณที่เดิมเคยจัดสรรไปให้หน่วยงานหลักๆ ที่เป็นพื้นที่เกิดเหตุคือกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชเป็นหลัก ขณะที่พื้นที่ภายนอกทางจังหวัดต้องจัดแบ่งจากงบประมาณอื่นๆ เข้าไปสนับสนุนในจำนวนน้อยนิดมาแล้ว
“ปีนี้เตรียมพร้อมกันเนิ่นๆ แล้ว เช่น ที่ จ.เชียงใหม่ ที่เคยมีไฟป่าร่วม 700,000 -800,000 ไร่ ก็ได้มีแผนจัดทำรายชื่อผู้ที่สงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับการเผาโดยตั้งเป้าทำให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน จากนั้นก็จะเข้าไปติดต่อว่าจ้างให้คนเหล่านี้เป็นผู้ร่วมป้องกันและแก้ไขไฟป่าเสียเองเพื่อให้เป็นแนวร่วม ส่วน จ.ลำปาง ก็ต้องการกำลังพลเพิ่มในพื้นที่ดอยพระบาท ซึ่งตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานเข้าไปสนับสนุนโดยประจำการอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น ส่วน จ.เชียงราย ก็มีแผนดังกล่าวซึ่งก็เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นต่อไป” พล.ท.ฉลองชัย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี