นักวิจัยเผยผลแล็บวิเคราะห์ “จุลินทรีย์ชีวภัณฑ์” กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทดแทน3 สาร ไม่พบอันตรายพร้อมให้ข้อมูลเพื่อเป็นทางเลือก หากรัฐจริงใจแก้ปัญหาเรื่องสารตกค้าง-ห่วงใยสุขภาพเกษตรกรจริง เผยญี่ปุ่น-มาเลเซียขึ้นทะเบียน ใช้เกลื่อน สวนปาล์ม-กลุ่มสินค้าเกษตรอินทรีย์ ขณะที่3สมาคมผู้ประกอบการ นำเข้า จำหน่ายสารเคมีเกษตร ขู่ฟ้องศาลปกครอง ถ้าประกาศยกเลิก3สาร
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน นายฐปนรมย์ แจ่มใส นักวิจัยเอกชนเปิดเผยว่าหลังจากที่ตนได้มีการนำเสนอผลวิจัยให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถึง การนำจุลินทรีย์ชีวภัณฑ์ กำจัดวัชพืชเพื่อเป็นทางเลือกในการ ทดแทนสารเคมี ที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติให้มีการแบน 3 สารเคมี โดยที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความชัดเจน และเป็นทางเลือก และเพื่อ ให้เกิดความโปร่ง ใส กระทรวงเกษตรฯได้สั่งการ ให้มีการทำหนังสือถึงกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมวิชาการเกษตร เพื่อทำการตรวจสอบมีส่วนประกอบใดบ้างที่มีกระทบระบบนิเวศน์ เมื่อทราบวิเคราะห์จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมวิชาการเกษตร จะมาการดำเนินการทดสอบในพื้นที่จริงต่อ ไป นั้น
โดยล่าสุด ทางตัวแทนกลุ่มผู้วิจัย ได้ยื่นเสนอ ต่อทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อวันที่ วันที่25 ตุลาคม ที่ผ่านมา มา และมีผลสรุป ในห้องแลป และส่งกลับมา โดยผลแลปที่มีการทดสอบ อย่างละเอียดของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แจ้งว่า ผลการวิเคราะห์ ของสของสถาบัน วิจัยวิทยาศาสตร์ สาธารณสุขวิทยาศาสตร์การแพทย์ สรุป 1.ผลการตรวจสอบจุลินทรีย์ ที่มีปะโยชน์ พบว่า มี ประโยชน์ และ2.ตรวจหาจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค ผลแลปแจ้งว่า ไม่มี และก่อนหน้านี้ ได้มีการ ส่งผลงานวิจัยเข้าไปทดสอบ ใน แลปทดลอง ของห้องทดลองเชลทรัลแลป เมื่อช่วงเดือน พฤษภาคม 2562 เพื่อ หาสารปนเปลื้อน ใน จุลินทรีย์ชีวภัณฑ์ กำจัดวัชพืช เพื่อหาสาร ไกลโฟเสต หรือพาราคอต ปนเปื้อนหรือไม่ ผลแล็บ ยืนยันชัดเจนว่า ไม่พบการปนเปลื้อน
ทั้งนี้ ตนในฐานะนักวิจัย ในส่วนของจุลินทรีย์ ยืนยันว่าชีวภัณฑ์ ไม่สารถนำไปผสม ในส่วนสารเคมี ได้ และ นักวิจัย หากเป็นนักวิจัยจริงและ รู้ถึงโครงสร้าง จุลินทรีย์ดี จะทราบดีว่า จุลินทรีย์ คือสิ่งมีชีวิต ที่ไม่สามารถ อยู่ใน สารเคมีได้ เพราะจะทำให้จุลินทรีย์ตาย ทันที ส่วนที่มีการกังวลว่า จุลินทรีย์ ที่ จะมีการผลิต เป็นสารกำจัดวัชพืช และปุ๋ย จะมีการกลายพันธ์ ตนและมีผลกับระบบนิเวศ ยืนยันว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะ โดยโครงสร้าง จุลินทรีย์เป็นสิ่งที่มีชีวิต จะมีการ ควบคุม และดูแลซึ่งกันที่กัน ไม่ทำให้เกิดอันตราย ซึ่ง ผลการวิเคราะห์ เบื้องต้น ตนได้ ส่งให้ทางกระทรวงเกษตรฯ เรียบร้อยแล้ว เพื่อนำเสนอ เป็นทางเลือกให้กับเกษตรกร อีกทางหนึ่ง หลังจากที่มีการแบนสารเคมี ซึ่งทุกอย่างเป็นเพียงทางเลือกหนึ่ง เท่านั้น ส่วนทางกระทรวงเกษตรจะมีการขับเคลื่อน อย่างไร เป็นเรื่องของ ทางกระทรวงเกษตรฯ และตนพร้อมที่จะให้ข้อมูลสนับสนุน เต็มที่ หากเป็นว่าเกิดประโยชน์ ต่อประเทศชาติ
“ผลเสนอ ผลงานวิจัย ให้ทางกระทรวงทราบ แล้ว ว่า มันได้ผลจริง และ มีการใช้จริงในกลุ่มผู้ปลูกพืชผักอินทรีย์ ที่มีการส่งออก ไปยังต่างประเทศ ตอนนี้จุลินทรีย์ กำจัดวัชพืช ใช้กันในต่างประเทศ และมีการสนับสนุน โดยรัฐบาลด้วย ซ้ำ โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศ ที่ค่อนข้าง ตรวจสอบเข้มข้น เรื่องของสารตกค้าง ยังสนับสนุนให้ใช้ทดแทนสารเคมี และตอนนี้ ประเทศมาเลเซีย ก็ ใช้ จุลินทรีย์ กำจัดวัชพืช ในสวนปาล์ม ทั่วประเทศ และ ทางกลุ่มผมเองก็ เป็นที่ปรึกษา ให้กับทางมาเลเซีย และมีการ ขึ้นทะเบียนสินค้า ในประเทศมาเลเซีย ทั้งหมด ใช้ทดแทน สารเคมี ตอนนี้ มีเพียงประเทศไทยที่ไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ ซึ่งเวลานี้หาก ต้องการ ยกเลิก ใช้สารเคมีจริง ก็ ไม่ควร จะเอาเคมี มาเป็นสิ่งทดแทน ส่วนตัวผมและทีมวิจัย ก็ เสนอเพื่อเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรไทยเท่านั้น เพราะผมเป็นที่ปรึกษา เรื่องนี้ในหลายประเทศ ที่ ไปส่งเสริมในต่างประเทศ เขายอมรับ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผมเกิดเมื่อมี แนวทาง ที่ ยกเลิกสารเคมี ผมจึงเสนอเป็นทางเลือกให้ เท่านั้น”นายฐปนรมย์ กล่าว
นายฐปนรมย์ กล่าวว่าจากนี้ไป คงเป็นเรื่อง ของทางรัฐบาลไทยว่าจะขับเคลื่อนอย่างไรต่อไป ส่วนตน เป็น แค่นักวิจัยกลุ่มหนึ่งที่เสนอทางเลือกให้กับภาครัฐ ลการวิจัยและผลการทดลองทุกอย่างเป็นเรื่องยืนยันว่า มีสิ่งที่ดีกว่าเคมี ไม่ใช่ ไม่มีทางเลือก แต่จะเลือกหาทางออกให้กับเกษตรกรไทยจริงหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ทั้งมาเลเซีย ญี่ปุ่นละประเทศอื่นๆมีการอนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียนชัดเจนและไม่อยากให้ ไทยเสียโอกาส หากต้องการจะส่งเสริมเกษตรกรและห่วงใย เรื่องสุขภาพเกษตรกรและคนไทยจริง ไม่ใช่พูดแต่ปาก
ขณะที่ นายวีรวุฒิ กตัญญูกุล นายกสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร กล่าวว่า ยังไม่ได้รับหนังสือเชิญจาก น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีข่าวว่าจะเชิญสมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายสารเคมีไปประชุม ที่กระทรวงเกษตรฯในวันที่ 21 พ.ย.นี้ซึ่งจากการหารือร่วมกับสมาคมอารักขาพืชไทยและสมาคมการค้านวัตกรรม เพื่อการเกษตรไทยเห็นตรงกันว่าหากมีหนังสือเชิญมาก็จะไปประชุม แม้ไม่คาดหวังว่าน.ส.มนัญญาจะรับฟังเหตุผลอะไรเนื่องจากที่ผ่านมาเห็นชัดเจนว่าตัดสินใจกำหนดนโยบายต่างๆโดยใช้อารมณ์และขาดข้อมูลทางวิชาการที่เชื่อถือได้ แต่จะไปเพื่อชี้แจงถึงผลกระทบร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นตามมา ไม่ใช่เฉพาะแก่ผู้ประกอบการ แต่ยังรวมถึงเกษตรกร ภาคอุตสาหกรรมเกษตร ปัญหาการค้าระหว่างประเทศและเศรษฐกิจชาติ
นายวีรวุฒิ ระบุว่า เหลือเวลาอีกเพียง8วันที่ รมว.อุตสาหกรรม จะลงนามในประกาศกระทรวงฯปรับสถานะสารเคมี3ชนิด คือ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอสจากวัตถุอันตรายชนิดที่3เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่4 ห้ามผลิตนำเข้า ส่งออก นำผ่านและครอบครอง และการที่น.ส.มนัญญา พร้อม จะสั่งการกรมวิชาการเกษตรออกใบอนุญาตส่งสารเคมี3ชนิด ขายคืนบริษัทผู้ผลิต หรือส่งออกไปประเทศที่3นั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร จากจำนวนสินค้าที่มีอยู่ในประเทศเกือบ30,000ตัน ซึ่งเวลากระชั้นชิดที่จะออกประกาศยกเลิกการใช้แล้ว
ที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรไม่ออกใบอนุญาตให้ทั้งนำเข้าและส่งออกสารเคมีทางการเกษตรทุกชนิดมาหลายเดือนทั้งที่กฎหมายยกเลิก 3 สาร ยังไม่มีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการเสียหาย ล่าสุดได้ทำหนังสือถึง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(กพร.)เพื่อให้สอบสวนกรมวิชาการเกษตร ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 รวมทั้งทำหนังสือร้องเรียนไปยังนายกรัฐมนตรีด้วย
นอกจากนี้ยังร่วมกับสมาคมผู้อาหารสัตว์ไทย,สมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่งเหลืองและรำข้าว ซึ่งใช้เมล็ดถั่วเหลืองแห้งและกากถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบตลอดจนผู้ประกอบการธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แป้งสาลี เบเกอรี่และขนมขบเคี้ยวซึ่งต้องใช้วัตถุดิบคือข้าวสาลีที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีผ่านสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อชี้แจงผลกระทบ จากการที่จะไม่นำเข้าวัตถุดิบเหล่านี้ได้เนื่องจากประเทศผู้ส่งออกมาไทยยังใช้สารเคมีทั้ง3ชนิดทั้งสิ้น ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแต่ละรายสต๊อกวัตถุดิบไว้เพียง 2-3 เดือน ถ้านำเข้าไม่ได้ โรงงานอุตสาหกรรมอีกมาก ต้องปิดตัวลง จะมีคนตกงานมากมายเกิดปัญหาสังคมต่างๆตามมาแน่ สิ่งที่ภาครัฐไม่ได้นึกถึง ก่อนตัดสินใจ เรื่องนี้คือผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศที่อาจล่มสลาย อีกทั้ง ยังทำผิดข้อตกลงขององค์การการค้าโลก(WTO)ไทยจะถูกร้องเรียนว่า กีดกันทางการค้าจากหลายประเทศ
ทั้งนี้ ในเรื่องนี้ เราเตรียมจะร้องศาลปกครองเช่นเดียวกับกลุ่มเกษตรกร จะรอดูว่าศาลจะมีคำสั่งอย่างไร เมื่อกลุ่มเกษตรกร ยื่นคำร้อง หากไม่มีการคุ้มครองชั่วคราว ทั้ง3สมาคม จะยื่นร้องอีกคดีหนึ่ง ส่วนที่ น.ส.มนัญญาระบุว่าผู้ประกอบการ ต้องเป็นผู้จ่ายค่าทำลายเองนั้น เชื่อว่าบริษัทที่นำเข้าและจำหน่ายรวมถึงร้านค้าต่างๆจะฟ้องอีกคดีเช่นกันเนื่องจากผู้ประกอบการขึ้นทะเบียนนำเข้า จำหน่ายกับกรมวิชาการเกษตร อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และหากวันที่ 1ธันวาคม ประกาศยกเลิกทันที ห่วงโซ่อาหารและเศรษฐกิจของประเทศจะล่มสลายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี