ในการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำครั้งล่าสุด ซึ่งมีผู้แทนจากกรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทา-สาธารณภัย กรมทรัพยากรน้ำสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เข้าร่วมประชุมด้วย ได้ผลสรุปว่า ปริมาณน้ำฝนในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปริมาณต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึงประมาณร้อยละ 40 ส่วนภาคใต้ใกล้เคียงค่าปกติ
ส่วนสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ ล่าสุด ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 มีปริมาณน้ำรวมกัน 49,618 ล้านลูกบาศก์เมตร(ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 65 ของความจุเก็บกักรวมกัน โดยมีปริมาณน้ำใช้การได้ 25,715 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 49 ของปริมาณน้ำใช้การได้ แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำของ 4 เขื่อนหลัก ที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนลุ่มเจ้าพระยา คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำรวมกันแค่ 11,796 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 47 ของความจุอ่างฯรวมกัน โดยเป็นปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันเพียง 5,100 ล้าน ลบ.ม.
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทานกล่าวว่า กรมวางแผนบริหารจัดการน้ำช่วงฤดูแล้งปีนี้ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งทำแผนจัดสรรน้ำ หาแหล่งน้ำสำรอง และวางแผนการปลูกพืชฤดูแล้งให้เหมาะสมกับสถานการณ์น้ำต้นทุนที่มีอยู่ โดยแผนจัดสรรน้ำช่วงฤดูแล้งปี 2562/63 ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562-30 เมษายน 2563 กรมฯจะจัดสรรน้ำจากเขื่อนต่างๆในเขตชลประทานทั่วประเทศรวม 17,699 ล้าน ลบ.ม. น้อยกว่าปีที่แล้วประมาณ 5,401 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาจะจัดสรรน้ำจาก 4 เขื่อนหลังรวม 4,000 ล้าน ลบ.ม. น้อยกว่าปีที่แล้ว 4,000 ล้าน ลบ.ม. พร้อมคุมค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาแม่น้ำท่าจีน-แม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง-ปราจีนบุรี ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
“การบริหารจัดการน้ำช่วงฤดูแล้งปีนี้ กรมฯวางแนวทางและเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ภัยแล้งต่อเนื่อง โดยใช้ระบบชลประทานบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เตรียมพร้อมเครื่องสูบน้ำ และรถยนต์บรรทุกน้ำ โดยกระจายอยู่ตามสำนักงานชลประทานและพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งทั่วประเทศ เพื่อช่วยประชาชนให้มีน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคช่วงฤดูแล้ง ซึ่งขณะนี้การจัดสรรน้ำยังเป็นไปตามแผน” อธิบดีกรมชลประทานกล่าว
นอกจากนี้ กรมยังสั่งการให้โครงการชลประทานทั่วประเทศบริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามแผนการจัดสรรน้ำที่กำหนดขึ้นอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับประชาชน ร่วมถึงหน่วยงานทุกภาคส่วนในพื้นที่ ให้ทราบถึงสถานการณ์น้ำโดยทั่วกัน
ด้านดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าวว่า สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา จึงต้องบริหารจัดการน้ำตามความเหมาะสม ซึ่งจะใช้น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค และรักษาระบบนิเวศเป็นหลัก โดยการจัดสรรน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2562/63 ทั้งประเทศระบบนิเวศ 40% ประมาณ 6,999 ล้านลบ.ม. เพื่อการเกษตรฤดูแล้ง 44% ประมาณ 7,881 ล้านลบ.ม. และเพื่อการอุตสาหกรรมเพียง 3% หรือประมาณ 519 ล้าน ลบ.ม.
นอกจากนี้ ได้สำรองน้ำไว้ใช้ต้นฤดูฝนปี 2563 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 อีก 11,340 ล้านลบ.ม. ในจำนวนนี้ใช้เพื่ออุปโภค-บริโภค รักษาระบบนิเวศและอื่นๆ จำนวน 43% หรือประมาณ 4,909 ล้าน ลบ.ม. ส่วนที่เหลืออีก 57% ประมาณ 6,431 ล้าน ลบ.ม. จะใช้ในกรณีเกิดฝนทิ้งช่วง
สำรับผลการจัดสรรน้ำล่าสุด ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 จัดสรรน้ำตามความต้องการไปแล้ว 1,994 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น
ร้อยละ 11 หากพิจารณาเฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งต้องการใช้น้ำตลอดฤดูแล้งรวม 4,000 ล้าน ลบ.ม. ขณะนี้จัดสรรน้ำตามความต้องการไปแล้ว 601.10 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ซึ่งถือว่า ยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้
ส่วนการเกษตรในฤดูแล้งตามแผนกำหนดพื้นที่ไว้ทั้งประเทศรวม 6.85 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าวนาปรัง 2.31 ล้านไร่ หรือร้อยละ 34 ของแผนฯ พืชไร่-พืชผัก 0.52 ล้านไร่ หรือร้อยละ 7 ของแผนฯ ที่เหลือเป็นพืชอื่นๆประมาณ 4.01 ล้านไร่หรือร้อยละ 59 ของแผนฯ อย่างไรก็ตาม การปลูกพืชฤดูแล้งในส่วนลุ่มเจ้าพระยานั้น เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนหลัก ไม่เพาะปลูกข้าวนาปรัง กรมชลประทานจึงบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอความร่วมมือจากเกษตรกรให้เพาะปลูกเพียงพืชอื่นๆรวม 993,215 ไร่
ยกเว้นลุ่มน้ำแม่กลอง ซึ่งมีแหล่งน้ำต้นทุนมาจากเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ ปีนี้มีปริมาณน้ำค่อนข้างมากรวมกันมากกว่า 23,000 ล้านลบ.ม. โดยเป็นปริมาณน้ำที่ใช้งานได้มากกว่า 10,000 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งมีแผนเพาะปลูกช่วงฤดูแล้งรวม 2.07 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าวนาปรัง 0.84 ล้านไร่ หรือร้อยละ 41 ของแผนฯ พืชไร่-พืชผัก 0.17 ล้านไร่ หรือ ร้อยละ 8 ของแผนฯ) และพืชอื่นๆ 1.06 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 51 ของแผนฯ นอกจากยังจะผันน้ำมาสนับสนุนลุ่มเจ้าพระยาอีกประมาณ 500 ล้านลบ.ม.
สำหรับลุ่มน้ำอื่นๆนั้น คณะกรรมการ JMC ของเขื่อนแต่ละแห่งจะเป็นผู้กำหนดว่า จะใช้น้ำเพื่อกิจกรรมใดบ้าง จำนวนเท่าไร ควรปลูกพืชฤดูแล้งหรือไม่ ซึ่งขณะนี้เขื่อนขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำน้อย ต้องเฝ้าระวังและควบคุมการบริการจัดการน้ำอย่างเคร่งครัด 6 แห่งประกอบด้วย
เขื่อนแม่กวงอุดมธารา จ.เชียงใหม่ ขณะนี้มีปริมาณน้ำ71 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 27 ของปริมาณความจุเป็นปริมาณน้ำที่ใช้งานได้เพียง 57 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนทับเสลา จ.อุทัยธานี มีปริมาณน้ำ 38 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 24 ของปริมาณความจุ เป็นปริมาณน้ำที่ใช้งานได้เพียง 21 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนกระเสียว จ.สุพรรณบุรี มีปริมาณน้ำ 63 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 21 ของปริมาณความจุ เป็นปริมาณน้ำที่ใช้งานได้เพียง 23 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น มีปริมาณน้ำเหลืออยู่ 555 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 23 ของปริมาณความจุ ขณะนี้ปริมาณน้ำที่มีอยู่ต่ำกว่าปริมาณน้ำที่ใช้งานได้ถึง-26 ล้านลบ.ม. เขื่อนลำพระเพลิง จ.นครราชสีมา มีปริมาณน้ำ 26 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 17 ของปริมาณความจุเป็นปริมาณน้ำที่ใช้งานได้เพียง 25 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนลำนางรอง จ.บุรีรัมย์ มีปริมาณน้ำ 25 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 20 ของปริมาณความจุ เป็นปริมาณน้ำที่ใช้งานได้เพียง 21 ล้าน ลบ.ม.
พื้นที่ชลประทานของเขื่อนทั้ง 6 แห่งดังกล่าว ให้งดทำนาปรังทั้งหมด ส่วนพืชฤดูแล้งอื่นๆ คณะกรรมการ JMC ของแต่ละเขื่อนจะพิจารณาตามความเหมาะสม
“ขณะนี้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและน้ำท่าในแม่น้ำสายหลักต่างๆ ทั่วประเทศมีปริมาณน้อย การจัดสรรน้ำสนันสนุนการเกษตรและการประมงต้องทำอย่างจำกัด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน พร้อมทั้งเร่งจัดหาแหล่งน้ำสำรองเพิ่มขึ้น จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนช่วยกันประหยัด” รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี