นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยผลประเมินโครงการธนาคารหม่อนไหมปี 2561 ซึ่งกรมหม่อนไหมเป็นหน่วยงานเจ้าภาพ วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต สร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเกษตรกร และลดต้นทุนการผลิต โดยกลุ่มเกษตรกรมีแหล่งให้ยืมหรือแลกเปลี่ยนปัจจัยการผลิตด้านหม่อนไหม และให้ชุมชนมีแหล่งเส้นไหมที่มีคุณภาพดีสำหรับทอผ้าเพียงพอ กำหนดพื้นที่เป้าหมายธนาคารหม่อนไหมในปี 2561 จำนวน 11 แห่ง 11 จังหวัด ได้แก่ พะเยา กำแพงเพชร อุดรธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มุกดาหาร สุรินทร์ บุรีรัมย์ เลย อุบลราชธานี และศรีสะเกษ เกษตรกรสมาชิกเป้าหมายจำนวน 445 ราย ระยะเวลาดำเนินโครงการเดือนตุลาคม 2561 - กันยายน 2562
การดำเนินโครงการ มีการคัดเลือกกลุ่มเกษตรกรที่ขาดแคลนเส้นไหมคุณภาพดีและเป็นกลุ่มที่มีความพร้อม โดยการจัดเวทีชุมชน เน้นการมีส่วนร่วมของสมาชิก ในการคัดเลือกคณะกรรมการเพื่อบริหารจัดการธนาคาร กรมหม่อนไหมสนับสนุนเส้นไหม วัสดุอุปกรณ์ และปัจจัยการผลิต ให้ธนาคารตามความต้องการของกลุ่มเกษตรกร และจากการติดตามประเมินโครงการ ปี 2561 ของ สศก.ทั้ง 11 จังหวัด พบว่า มีเกษตรกรเข้าร่วม 410 ราย คิดเป็นร้อยละ 92 ของเป้าหมาย โดยธนาคารได้รับการสนับสนุนเส้นไหมจากกรมหม่อนไหม 807 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าการสนับสนุน เส้นไหม 1.40 ล้านบาท และธนาคารยังได้รับการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ และปัจจัยการผลิต เช่น ฟืม พวงสาว ปูนขาว คลอรีน และ เดทตอล เพื่อให้เกษตรกรสมาชิกยืมไปใช้ประกอบอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และทอผ้า และนำมาชำระคืนเป็นเงินสดรวมดอกเบี้ย หรือ ชำระคืนเป็นเส้นไหม หรือผ้าไหม ตามแต่ข้อตกลงของแต่ละธนาคาร ทั้งนี้ มีเกษตรกรสมาชิกมาใช้บริการธนาคารแล้วคิดเป็นร้อยละ 77 ของเกษตรกรสมาชิก
นอกจากการให้ความรู้ด้านแนวทางการดำเนินงาน การบริหารจัดการธนาคารแล้ว ยังถ่ายทอดความรู้เพิ่มเติมให้เกษตรกรสมาชิก โดยเฉพาะองค์ความรู้ด้านการฟอกย้อมเส้นไหมจากวัสดุธรรมชาติ เทคนิคการทอผ้าลวดลายต่างๆ การสาวไหมให้ได้มาตรฐาน จากศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯในพื้นที่ ส่งผลให้เกษตรกรสมาชิกนำความรู้ไปปรับใช้กับการประกอบอาชีพด้านหัตถกรรม เช่น ย้อมสีเส้นไหมจากวัสดุธรรมชาติทดแทนการใช้สารเคมีในการย้อมซึ่งช่วยลดต้นทุนการทอผ้าได้อีกด้วย
ด้านนางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการ สศก. กล่าวเสริมว่า เกษตรกรสมาชิกส่วนใหญ่เห็นว่า การดำเนินงานของธนาคารช่วยส่งเสริมการประกอบอาชีพด้านหัตถกรรมได้เป็นอย่างดี โดยเกษตรกรสมาชิก ร้อยละ 64 เห็นว่าโครงการฯ ช่วยแก้ปัญหาด้านขาดแคลนเส้นไหมคุณภาพดี ส่งผลให้เกษตรกรผลิตผ้าไหมได้เพิ่มขึ้นและจำหน่ายได้ราคาดีขึ้นเฉลี่ย 1,181 บาท/เมตร จากเดิมเฉลี่ย 823 บาท/เมตร (เพิ่มขึ้นร้อยละ 44)
ทั้งนี้ ภาพรวมเกษตรกรร้อยละ 69 พึงพอใจนโยบายสนับสนุนให้มีธนาคารในชุมชนระดับมากที่สุด เพราะเห็นว่าช่วย
เพิ่มศักยภาพการผลิต มีเงินทุนบริหารจัดการกลุ่ม สร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเกษตรกร เกิดความคล่องตัวในการประกอบอาชีพหัตถกรรม มีแหล่งเส้นไหมคุณภาพดีไว้ใช้ในชุมชน ผลิตผ้าไหมได้ตลอดปี โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้งที่เส้นไหมมีราคา
สูง เนื่องจากไม่มีใบหม่อนเลี้ยงไหมนอกจากนี้ เกษตรกรสามารถผลิตผ้าไหมหรือนำผ้าที่ทอได้ มาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ส่งผลให้มีรายได้เสริมให้กับครอบครัวมากขึ้นด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี