ประธานศาลฎีกา รับ งานหินของศาล หลัง พ.ร.บ.การประเมินผลสัมฤทธิ์ฯใช้บังคับ ให้ตุลาการภิวัฒน์ล้างกฏหมายที่ล้าสมัยเป็นภาระประชาชน เปิดช่องที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาวินิจฉัยคดีนอกเหนือที่กฏหมายเขียนไว้ ยันศาลยุติธรรมไม่ทำหน้าที่แทนนิติบัญญัติ 3 อำนาจต้องคานกัน ขอบคุณที่ไว้ใจศาลชำระความเดือดร้อนของประชาชน อยู่ระหว่างทำข้อกำหนดตั้ง คณะ กก.ศึกษา ก่อนใช้จริง ยกเคส กัญชา-กระท่อม-ปฏิรูปที่ดิน ตัวอย่างืควรเเก้กฎหมายหรือไม่
วันที่ 2 มกราคม 2563 นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับพ.ร.บ.หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย...ว่า พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่เดือนพ.ย.ที่ผ่านมานี้ ความจริงแล้วกฏหมายฉบับนี้มีเจตนาดี เพราะว่า เป็นการมองย้อนกลับไป โดยที่ผ่านมาอย่างน้อยก็ มีคณะกรรมการปฎิรูปกฏหมายหลายฉบับ 2 คณะที่มีความเห็นว่า กฎหมายหลายฉบับที่ออกมาล้าสมัยไปแล้ว เป็นกฎหมายที่ไม่จำเป็นจะต้องออกม และสร้างภาระให้กับประชาชน ก็พยายามที่จะยกเลิก เพิกถอนกฎหมายเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ปรากฎว่า กระบวนการยกเลิกกฎหมายไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะต้องนำเข้ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ
ทั้งนี้ปรากฎว่า ที่ผ่านมา ก็มีเรื่องอื่นที่มีลำดับความสำคัญยิ่งกว่าการแแก้ไขกฎหมายเก่า ทำให้แนวคิดเรื่องการยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัยต่างๆ เกิดผลสัมฤทธิ์ได้น้อย ตนเข้าใจว่า สนช. ชุดที่แล้วก็คิดว่า ทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือ ใช้ตุลาการภิวัฒน์เลย โดยกำหนดว่า กฎหมายฉบับใดถ้าออกมาแล้วไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เป็นกฎหมายที่โดยพฤติการณ์แล้วสร้างภาระความเดือดร้อนให้กับประชาชน ก็ให้อำนาจศาลในการพิจารณา แต่มีข้อจำกัดคือว่า ถ้ามีโทษทางอาญาให้ศาลมีอำนาจที่จะลงโทษน้อยกว่ากำหนดได้ ถ้ามีโทษทางปกครองก็ให้ศาลปกครองสามารถจะลงโทษทางปกครองได้น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ และเช่นเดียวกันทั้งศาลยุติธรรมและศาลปกครองให้มีอำนาจกำหนดมาตราการอื่นๆซึ่งอาจจะเป็นมาตรการในทางแพ่งให้เบาลงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ได้
โดยในส่วนของศาลยุติธรรมวิธีการนี้จะเกิดขึ้น เมื่อศาลเห็นเองหรือคู่ความร้องขอเข้ามา ก็ส่งเรื่องให้ประธานศาลฎีกาพิจารณา นำเรื่องเข้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา พิจารณาว่า
1.กฎหมายนี้ยังมีความจำเป็นหรือสร้างภาระให้กับประชาชน หรือไม่ ถ้าเห็นว่าเป็นเช่นนั้น ศาลก็จะมีมติทัังเรื่องการลงโทษหรือ จะออกเป็นมาตราการต่างๆ วิธีการนี้บอกได้ว่า ไม่ง่ายเลย ในการทำเพราะให้ศาลเป็นผู้พิจารณาว่ากฎหมายหมดความจำเป็น ซึ่งศาลเป็นผู้บังคับใช้และตีความกฎหมาย ศาลจะต้องทำการบ้านเยอะ อาจต้องไปสำรวจความรู้สึก ความคิดเห็นของสังคมเหมือนกันนะว่า กฎหมายตัวนี้ในสายตาชาวบ้านหมดความจำเป็นในการบังคับใช่แล้วหรือไม่ อันนี้คือโจทย์ยากของศาล พอมาบอกว่า การกำหนดโทษเบากว่ากฎหมาย หนักไม่ได้ต้องเป็นคุณอย่างเดียว ก็ต้องมาคิดว่า ที่เบานะๆแค่ไหน เพราะพอตั้งข้อกำหนดไปแล้วก็จะเป็นบรรทัดฐานต่อไปกับคดีอื่นๆทุกคดีหรือไม่ ซึ่งโดยสภาพของคดีอื่นๆทั่วไปแต่ละคดีจะมีพฤติการณ์ในการกระทำความผิด หรือเรื่องต่างๆรวมถึงสิ่งแวดล้อมในคดีต่างกัน ถ้าจะกำหนดเหมือนกันทุกเรื่อง ตนคิดว่า คงเป็นเรื่องประหลาดเหมือนกัน แต่ถ้าศาลลดโทษให้คดีหนึ่งแล้ว แต่อีกคดีหนึ่งจะต้องลดทุกคดีหรือไม่ อันนี้เชเป็นโจทย์ยากหมดเลย
ตนคิดว่าเรื่องนี้ถ้าฟังข้อทักท้วงในชั้นที่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ ก็มีการอภิปรายกันพอสมควรว่า ศาลใช้อำนาจนิติบัญญัติหรือไม่ ซึ่งการที่จะให้ศาลไปใช้อำนาจนิติบัญญัติ แล้วเป็นตุลาการภิวัฒน์จะเหมาะกับสังคมไทยหรือไม่ และสิ่งที่ว่านี้ ใช่ตุลาการภิวัฒน์จริงหรือไม่ อันนี้ก็มีคำถามเยอะสิ่งเหล่านี้ศาลคงไม่มีหน้าที่ ที่จะมาบอกว่าสิ่งนี้เป็นการล่วงละเมิดอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ หรือเป็นการใช้อำนาจตุลาการภิวัฒน์โดยเหมาะสมหรือไม่ เพราะกฎหมายมอบอำนาจมาให้ทำอย่างนี้ แต่ตนคิดว่า จากการที่ศาลฎีกาได้เคยประชุมกันไปบ้างแล้วเพื่อออกข้อกำหนด ปฏิบัติตามพ.ร.บ.ฉบับนี้ เราก็เป็นกังวลว่าศาลจะอำนวยความยุติธรรม แต่เราจะไม่ทำหน้าที่เป็นนิติบัญญัติเองอันนี้ชัดเจน
เมื่อถามถึงปัญหาในทางปฏิบัติต่อ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ประธานศาลฎีกา กล่าวว่า ปัญหาตามมาจากกฎหมายฉบับนี้คือ หากคดีทุกคดียื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยหมดว่ากฎหมายหมดความจำเป็น และสร้างภาระให้กับประชาชน ลองนึกถึงภาพ หากศาลฎีกาต้องประชุมใหญ่ทุกคดีในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร นึกออกหรือไม่ว่า พอยื่นคำร้องต่อศาลขอให้นำเข้าที่ประชุมใหญ่โดยอาศัยพ.ร.บ.ฉบับนี้ศาลต้องหยุดการพิพากษาไว้แล้วก็รอที่ประชุมใหญ่ ถ้าเป็นอย่างนี้ความหวังที่ว่าคดีจะรวดเร็วทั้งหมดเนี่ย กระบวนการมันเป็นไปไม่ได้เลย ตรงนี้เราจึงอยู่ระหว่างการทำข้อกำหนด คือจะต้องมาพิจารณาว่าจะต้องจำกัดประเภทของคดีที่เห็นว่า มีความจำเป็นจริงๆแล้วก็ไม่ใช่เปิดโอกาสให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้กฎหมายฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการประวิงคดี ตนยังคิดต่อด้วยซ้ำ ว่า สมมุติมีคดีอย่างนี้ขึ้นมาจริงๆศาลเองต้องตั้งคณะทำงานฝ่ายวิชาการเข้ามาศึกษา ความเป็นมาของกฎหมาย สภาพการบังคับใช้ของกฎหมายแล้วที่บอกว่ากฎหมายหมดความจำเป็นจะต้องเอาอะไรมาวัด ต้องมีคณะทำงานศึกษาจริงจัง
นอกจากศึกษาเรื่องนี้แล้ว ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า จะได้เสียงสะท้อนจากภาคส่วนไหนของสังคม เพราะ คงจำได้ว่ากฎหมายฉบับนี้เขียนไว้ว่า ต่อไปเวลาจะยกร่างกฎหมายฉบับใด จะต้องมีการประเมินผลกระทบของทางกฎหมายทุกฉบับโดยการสอบถามบุคคลที่เกี่ยวข้องที่จะต้องได้รับผลกระทบทางกฎหมายนี้ว่า มีความรู้สึก หรือความคิดเห็นอย่างไร คล้ายๆกับการทำ EIA ของกฎหมายสิ่งแวดล้อมทุกฉบับ ที่กล่าวมาคือโจทย์ที่ยากสำหรับศาล แต่ว่าเข้าใจที่สภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติที่ผ่านมาต้องการที่จะปลดภาระความเดือดร้อนให้กับประชาชน แต่จะไปอาศัยกลไกทางนิติบัญญัติโดยปกติ ก็ไม่ก้าวหน้า ก็หวังทางฝ่ายตุลาการซึ่งก็คือศาล
อย่างไรก็ตาม ตนต้องขอบคุณเพราะแสดงว่าสถาบันศาลยังเป็นที่ไว้วางใจที่จะให้แก้ความเดือดร้อนกับประชาชน
“ผมก็นึกเล่นๆนะว่าเอ๊ะอย่างนี้รัฐบาลยุคนี้มีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องกัญชาก็ดี เกี่ยวกับเรื่องสารเสพติดบางประเภท ก็เลยมีคำถาม ใบกระท่อมที่ชาวบ้านใช้สมควรจะเป็นสารเสพติดหรือไม่และสร้างภาระให้กับประชาชนจริงไหม เพระว่า ถ้าไปมองดูวิถีชีวิตชาวบ้านนะ เขาออกไปทำงานกรีดยาง เขาก็เคี้ยวใบกระท่อมก็ไม่เห็นเขาจะสร้างปัญหาอะไรให้กับสังคม สุขภาพเขาก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ทีนี้วันดีคืนนี้พอเรามากำหนดให้เป็นยาเสพติดในบัญชี ก็จะกลายเป็นความผิดทันที แล้วอย่างนี้ จะเกินความจำเป็นหรือไม่ หรืออีกอย่าง ที่น่าคิด เราผ่านพ.ร.บ.ปฏิรูปที่ดิน พอวันดีคืนดีมีการประกาศให้ทั้งอำเภอทั้งในเขตปฏิรูปที่ดิน พอประกาศเขตปฏิรูปที่ดินปุ๊ปหน่วยงานปฏิรูปที่ดินต้องไปหางบประมาณมาซื้อที่ดินคืนแล้วนำมาปฏิรูปแล้วก็แจกจ่ายให้กับเกษตรกร แต่ปรากฎว่าเอาเงินจากไหน วันนั้นถึงวันนี้ เป็นสิบปีที่ดินทั้งอำเภอยังเป็นเขตปฏิรูปที่ดินอยู่ โดยที่ชาวบ้านทำอะไรไม่ได้เพราะอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินคำถามกฎหมายอย่างนี้เป็นกฎหมายที่เกินความจำเป็นแล้วสร้างภาระหรือไม่ ผมว่าน่าคิดนะ แต่เรื่องนี้ผมบอกเลยว่ายากนะครับ แค่ตัวอย่างที่ยกมา ศาลเองก็ต้องระมัดระวังเพราะเราต้องระลึกว่า เราคืออำนาจตุลาการที่มาถ่วงดุลกันในระบอบประชาธิปไตย 3 อำนาจมันต้องคานกัน” ประธานศาลฎีกากล่าว
เมื่อถามว่าในทางปฏิบัติมีการใช้กฏหมายนี้แล้วหรือไม่ นาย ไสลเกษ ประธานศาลฎีกากล่าวว่า ตนไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะใช้แล้ว แต่ว่าบังเอิญกฎหมายลูกที่เป็นพวกข้อบังคับกฎระเบียบที่จะต้องออกมาตามกฎหมายฉบับนี้ จะต้องออกกฎหมายภายใน 2ปี ถ้าไม่ออกภายใน 2 ปีให้ใช้กฎหมายในทางที่เป็นคุณ กับผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเดียว แต่ถ้าจะทำอะไรที่เป็นโทษก็จะต้องออกข้อบังคับหรือออกมาตรการอะไรต่างๆขึ้นมาภายใน 2 ปี อย่างนี้เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี