หกวันอันตรายปีใหม่
ตายพุ่ง317ศพ
บาดเจ็บอีก3,160ราย
กทม.เสียชีวิตสูงสุด
ปมเดิม‘เมาแล้วขับ’
7จังหวัดไร้สูญเสีย
เปิดฉากปี “หนูทอง” สังเวยอุบัติเหตุทางถนนแล้ว317 ศพ บาดเจ็บ 3,160 ราย กทม.ยอดตายสูงสุด14 ราย สาเหตุหลัก“เมาแล้วขับ”พบ 7 จังหวัดยอดตายเป็นศูนย์ ด้าน ปชช.แห่กลับเข้ากรุง ถนนติดหนึบ
เมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย เป็นประธานแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (ศปถ.) ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ว่า ได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 1 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่ 6 ของการรณรงค์ “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” เกิดอุบัติเหตุ 547 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 55 ราย ผู้บาดเจ็บ 577คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 39.31 ขับรถเร็ว ร้อยละ 28.34
จยย.แชมป์ยานพาหนะอันตราย
ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ จักรยานยนต์ ร้อยละ 79.35 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง 65.81 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 36.75 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 35.83 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 00.01-04.00 น.ร้อยละ 30.71 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 21.84 ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 2,036 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 64,989 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 1,014,405 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 246,328 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 61,416 ราย ไม่มีใบขับขี่ 55,467 ราย ส่วนจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ สงขลา (32 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ราชบุรี และอุดรธานี (จังหวัดละ 4 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ สงขลา (35 คน)
6วันยอดตายพุ่ง317เจ็บ3,160ราย
สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 6 วันของการรณรงค์ (27 ธันวาคม 2562 – 1 มกราคม 2563) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,076 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 317 ราย ผู้บาดเจ็บ รวม 3,160 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 7 จังหวัด ได้แก่ ตราด พะเยา ภูเก็ต แม่ฮ่องสอน ยะลา ลำพูน และสตูล จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ สงขลา (95 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (14 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ สงขลา (100 คน)
มท.สั่งเร่งระบายรถ-ปิดจุดเสี่ยง
รมช.มหาดไทย กล่าวต่อว่า ประชาชนบางส่วนยังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับจากภูมิลำเนา ศปถ.จึงได้ประสานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนตลอดเส้นทางอย่างต่อเนื่อง ดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจร โดยเปิดช่องทางพิเศษเพื่อเร่งระบายรถ และปิดจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ อาทิ ตั้งกรวยริมไหล่ทาง ปิดจุดกลับรถ เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยคุมเข้มผู้ขับขี่ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ทั้งขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ ไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย รวมถึงประเมินความพร้อมของผู้ขับขี่ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการขับรถเร็วและง่วงหลับใน
อีกทั้งกำชับให้เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชนที่ยังคงตกค้างบริเวณสถานีขนส่ง ท่าอากาศยาน ท่าเทียบเรือ และสถานีรถไฟทุกแห่งให้เดินทางกลับได้อย่างปลอดภัย
จับมือจังหวัดร่วมวิเคราะห์ข้อมูล
ด้าน นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง เปิดเผยว่า ได้ขอให้จังหวัดวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ โดยให้ความสำคัญกับประเด็นที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะอำเภอที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง (พื้นที่สีแดงและสีส้ม) เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน
สำหรับในวันเดียวกันนี้คาดว่ามีประชาชนบางส่วนเดินทางกลับ จึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชนต่อเนื่อง จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกบริเวณเส้นทางที่มีการจราจรแออัด โดยให้เข้มข้นเส้นทางสายรอง ทางเลี่ยง ทางลัด ซึ่งเป็นถนนทางตรง วิ่งสวนเลน และไม่มีเกาะกลาง ผู้ขับขี่มักใช้ความเร็วสูงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ ขอให้กวดขันการจอดรถริมทาง และร้านค้าที่วางสิ่งของล้ำช่องทาง เพื่ออำนวยการจราจรให้คล่องตัวและป้องกันอุบัติเหตุจากการแซงริมไหล่ทาง
สถิติชี้มูลเหตุจากเมาขับ-ขับเร็ว
ขณะที่ นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ระบุว่า จากการวิเคราะห์สถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วง 6 วันที่ผ่านมา พบว่าสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่ยังคงเกิดจากการดื่มแล้วขับ และขับรถเร็ว จึงขอฝากเตือนประชาชนให้เตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนขับรถ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มไม่ขับ เพิ่มความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน ไม่ขับรถเร็ว เว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ ไม่ตัดหน้าในระยะกระชั้นชิด ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด และมีน้ำใจต่อผู้ร่วมใช้เส้นทาง เพื่อให้ทุกคนเดินทางถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย
มท.1ชี้ตายลดลงต้องทำต่อเนื่อง
อีกด้านหนึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงมาตรการช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลปีใหม่ ว่าตัวเลขจำนวนอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะยอดผู้เสียชีวิตนั้นลดลงอย่างมีนัยยะ แต่ยังเหลืออีก 1 วัน ถ้าเป็นไปตามนี้ สิ่งที่น่าจะต้องทำคือต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่ามาตรการใดที่ทำแล้วเกิดผลให้มียอดลดลง ซึ่งจะต้องทำทั้งวิเคราะห์ถึงมาตรการใดที่ทำให้ยอดการเสียชีวิตใน 7 วันนี้ลดลง และจะต้องทำต่อเนื่องไป เพื่อการลดให้ได้มากกว่านี้
อย่างไรก็ดี ทุกฝ่ายได้มีมาตรการและบังคับใช้กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์และทุกคนทุ่มเทเพื่อที่จะไปดูแลในพื้นที่ แต่ละพื้นที่ก็มีการวางแผนปรับแผนไปตามสถานการณ์ ซึ่งก็ได้ทำกันอย่างเข้มแข็ง
ปชช.กลับกรุง“มิตรภาพ”ติดหนึบ
วันเดียวกัน พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (รอง ผบก.ทล.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การเดินทางกลับเข้า กทม.ของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 จากข้อมูลระบบการนับปริมาณรถของกรมทางหลวง พบว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา มีรถเข้า กทม.แล้วว่า 640,000 คัน โดยตั้งแต่ช่วงเช้าจากการตรวจสอบข้อมูลรถที่จะออกจากจังหวัดต่างๆ พบว่าในสายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โซนเหนือในกลุ่มจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี พบว่ารถเริ่มออกเดินทางเข้าถนนมิตรภาพมาเป็นจำนวนมากแล้ว สังเกตได้จากปริมาณรถที่เพิ่มขึ้นบริเวณแยกบ้านไผ่ยาว ต่อเนื่องมาจนถึงสีคิ้ว ซึ่งขณะนี้รถมีปริมาณมากแต่ยังเคลื่อนตัวตามกันมาได้ มีการชะลอตัวช้าบริเวณจุดที่เป็นปั๊มน้ำมัน และร้านอาหาร
สำหรับเส้นทางหลีกเลี่ยงจากการตรวจสอบพบว่าถนนสาย 304 กบินทร์บุรี-ปักธงชัย เส้นทางดังกล่าวปริมาณรถยังน้อยมากกว่าถนนมิตรภาพ จึงขอแนะนำให้ประชาชนมาใช้เส้นทางในจุดดังกล่าวแทนถนนมิตรภาพ เพื่อป้องปริมาณรถมาในจุดดังกล่าว
ทล.แนะสายเหนือใช้เส้น340-347
อีกทั้งลักษณะทางกายภาพของถนนและลักษณะภูมิประเทศเป็นช่วงทางลงเขาเสียส่วนใหญ่ จึงทำให้การเดินทางจะเคลื่อนตัวได้เร็วมากยิ่งขึ้น ส่วนจุดที่มีการก่อสร้างก็มีความคืบหน้าไปมากไม่เป็นลักษณะของหน้าผาเหวลึกเหมือนปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน เส้นทางจากภาคเหนือ พบว่ารถที่ออกมาจากจังหวัดในโซนภาคเหนือเริ่มเดินทาง ผ่านพิษณุโลกเข้ามาสู่จังหวัดนครสวรรค์ แล้วบางส่วนจากข้อมูลพบว่ารถที่มาถึงจังหวัดนครสวรรค์ต่อเนื่องถึงอินทร์บุรี ตากฟ้า จะมีการชะลอตัวมาตลอดทั้งเส้นทางโดยเฉพาะในบริเวณปั๊มน้ำมันและร้านอาหาร แต่เมื่อพ้นจุดต่างๆ เหล่านั้นแล้ว ก็จะเคลื่อนตัวได้ดีมากยิ่งขึ้น ส่วนเส้นทางหลีกเลี่ยงตำรวจทางหลวงแนะนำให้เลี่ยงไปใช้ทางหลวง 340 หรือจะใช้ช่วงต่างระดับบางปะหัน ต่อเนื่องเข้าทางหลวง 347 แล้วขึ้นทางด่วนเข้า กทม.จะสะดวกมากกว่า
เผยสายใต้ชะลอตัวจุดก่อสร้าง
ส่วนเส้นทางสายใต้ จากถนนเพชรเกษมขึ้นมาจนถึงวังมะนาว ยังไม่น่าเป็นห่วง เพราะมีปริมาณรถไม่มากและน้อยกว่าเมื่อวันที่ 1 มกราคม ขณะที่ถนนพระราม 2 ยังคงมีการชะลอตัวตามแนวก่อสร้างต่างๆ และปริมาณรถที่มุ่งหน้าเข้า กทม.ในช่วงเวลาเร่งด่วน ซึ่งขณะนี้ถือว่ายังสามารถรับรถได้
จากการคาดการณ์สภาพการจราจรของ บก.ทล.เชื่อว่าในหลายจุดจะมีปริมาณรถมากกว่าวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา และจะมีการทยอยเดินทางเข้า กทม.ตลอดทั้งวัน มีประชาชนเดินทางเข้า กทม.มากอีกครั้งในช่วงวันที่ 4-5 มกราคมนี้ เพราะโรงงานอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกจะเปิดทำการอีกมากกว่าร้อยละ 50
ในวันที่ 6 มกราคม จึงขอให้คนขับมีความพร้อม หากง่วงหรือขับไม่ไหวให้จอดพักทันที และต้องตรวจสอบสภาพรถให้พร้อม หาก ไม่มั่นใจสามารถแวะจุดพักที่มีจุดตรวจสภาพรถตลอดทั้งรายทางได้
คุมประพฤติเมาขับกว่า9,000คดี
ขณะเดียวกัน กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยสถิติคดีที่เข้าสู่กระบวนการคุมความประพฤติ เป็นวันที่ 6 ของการคุมเข้ม (1 มกราคม 2563) มีสถิติคดีเข้าสู่กระบวนการคุมความประพฤติน้อยลง เนื่องจากศาลปิดทำการหลายพื้นที่ โดยมีสถิติคดีทั้งสิ้น 338 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถขณะเมาสุรา 337 คดี คิดเป็นร้อยละ 99.7 และคดีขับเสพ 1 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.3
ยอดสะสมสถิติคดีที่ศาลสั่งคุมประพฤติ 6 วัน ที่มีการควบคุมเข้มงวด ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2562 - 1 มกราคม 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 9,049 คดี จำแนกเป็นคดีขับรถขณะเมาสุรา 8,894 คดี คิดเป็นร้อยละ 98.29 คดีขับเสพ 140 คดี คิดเป็นร้อยละ 1.55 คดีขับซิ่ง/แข่งรถ 1 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.01 คดีขับรถประมาท 14 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.15
ขอนแก่นครองแชมป์เมาแล้วขับ
ส่วนจังหวัดที่มีสถิติคดีขับรถขณะเมาสุราสะสมสูงสุด 3 อันดับ จังหวัดขอนแก่นยังครองแชมป์เป็นวันที่สองติดต่อกัน ด้วยจำนวนคดี 507 คดี กรุงเทพมหานคร จำนวน 506 คดี และจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 476 คดี เมื่อเปรียบเทียบสถิติคดีที่เข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติสะสม 6 วัน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 และ 2563 พบว่าคดีขับรถขณะเมาสุรา ปี 2562 มีจำนวน 6,123 คดี กับปี 2563 มีจำนวน 8,894 คดี เพิ่มขึ้นถึง 2,771 คดี คิดเป็นร้อยละ45.26
ย้ำทำผิดซ้ำส่งตัวปรับพฤติกรรม
ทั้งนี้ กรมคุมประพฤติจะทำการตรวจสอบประวัติผู้กระทำผิดทุกราย หากพบกระทำผิดซ้ำในฐานความผิดขับรถขณะเมาสุรา จะดำเนินมาตรการเข้มโดยส่งเข้าค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อเนื่อง 3 วัน และให้ทำงานบริการสังคม อาทิ การดูแลผู้ป่วยติดเตียงในโรงพยาบาล การเยี่ยมชมห้องดับจิต การช่วยเหลืองานในโรงพยาบาล เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกแก่ผู้ถูกคุมความประพฤติไม่ให้หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำอีก
นอกจากนี้ ยังเตรียมอีกหนึ่งมาตรการสำหรับผู้กระทำผิดในฐานความผิดขับรถขณะเมาสุรา โดยจะดำเนินการคัดกรองตามแบบประเมินพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ หากพบว่ามีความเสี่ยงสูงในการติดสุราจะส่งต่อให้กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการเพื่อรับการบำบัดรักษาฟื้นฟูสภาพผู้ดื่มแล้วขับตามสถานพยาบาลตามแนวทางเมาแล้วขับส่งบำบัดต่อไป
จัดกำลังสนับสนุนให้บริการปชช.
อย่างไรก็ดี สำนักงานคุมประพฤติทั่วประเทศ พร้อมด้วยอาสาสมัครคุมประพฤติ จะร่วมสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำจุดบริการประชาชน ด่านชุมชน และด่านตรวจค้น ตามนโยบาย รมว.ยุติธรรม เพื่อให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน พร้อมเฝ้าระวังในบางพื้นที่ซึ่งยังคงมีการจัดงานรื่นเริง เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน จำนวน 85 จุด โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 557 คน
โรงตึ๊งบุรีรัมย์คึกคักหลังหยุดยาว
ที่ จ.บุรีรัมย์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้ประชาชนแห่นำทรัพย์สินมีค่า โดยเฉพาะทองคำรูปพรรณ ไปจำนำที่สถานธนานุบาล เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ซึ่งเปิดทำการเป็นวันแรก หลังจากหยุดยาวช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ติดต่อกัน 5 วัน เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในครอบครัวและใช้สำหรับเป็นค่าเดินทางในการกลับไปทำงานต่างจังหวัด ภายหลังร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่จนขาดสภาพคล่อง ขณะที่บางส่วนนำเงินที่บุตรหลานให้ไว้ช่วงกลับมาเยี่ยมบ้าน ไปจ่ายดอกเบี้ยและไถ่ถอนทรัพย์สินมีค่าที่จำนำไว้กับสถานธนานุบาล
อย่างไรก็ดี คาดว่าจะมีประชาชนเข้ามาใช้บริการทั้งจำนำ ไถ่ถอน และส่งดอกเบี้ยอย่างคึกคักตลอดทั้งวัน ไม่น้อยกว่า 1,000 ราย เพราะเป็นวันเปิดทำการวันแรก จากปกติจะมีลูกค้ามาใช้บริการวันละ 400-500 ราย ขณะที่ทางเทศบาลได้เตรียมเงินสดไว้รองรับให้บริการประชาชนกว่า 150 ล้านบาท
นายกฯผุดชื่อ’7วันแห่งความสุข’
ที่ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการเกิดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ ว่าอยากให้ยกเป็นกรณีศึกษายอดผู้บาดเจ็บและสูญเสียจากการจราจร ต้องพิจารณาว่าเป็นการเสียชีวิตลักษณะใด รวมถึงช่วงเวลา เพื่อนำไปแก้ไข ส่วนหน่วยงานราชการทำเต็มที่แล้ว ก็เป็นเรื่องของประชาชนที่ต้องระมัดระวังตัวเองด้วย แม้รายงานยอดการสูญเสียน้อยลง แต่นก็ไม่สบายใจ เพราะยังมีผู้เสียชีวิตกว่าร้อยคน หวังว่าช่วงต่อไป เช่น เทศกาลสงกรานต์ จะลดผู้เสียชีวิตลงได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สำหรับชื่อ “7 วันอันตราย” ฟังแล้วไม่สร้างสรรค์ อยากให้เปลี่ยนเป็น “7 วันเทศกาลแห่งความสุข” ได้หรือไม่ เพื่อให้นึกถึงความสุขและความปลอดภัย เพราะมีผลกระทบทั้งตนเองและลูกหลาน ค่ารักษาพยาบาล จึงจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจประเภทนี้ ตนได้ให้แนวคิดเรื่องการทำถนนหนทาง หรือการขยายช่องทางจราจรให้มากขึ้น หากมีความเป็นไปได้สามารถสร้างให้เส้นทางใดเสร็จก่อน ก็ให้ดำเนินการทันที รวมถึงการปลูกสร้าง ขอให้อยู่ห่างไกลจากถนนหลัก เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตหากมีการขยายถนนออกไป
ห่วงสูญเสียแรงงานหนุ่ม-สาว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการสรุปผลการดำเนินการจัดงานปีใหม่แต่ละพื้นที่ ซึ่งต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ และจิตอาสา ที่เข้ามาช่วยกันทำให้การจัดงานปีใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้ง กทม.และต่างจังหวัด รวมถึงการช่วยกันดูแลปัญหาจราจร แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากถนนสายรอง และผู้สูญเสียคือวัยหนุ่มสาว เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะสถิติการเพิ่มของประชากรน้อยลง การสูญเสียคนหนุ่มสาวเท่ากับสูญเสียแรงงาน จึงขอย้ำทุกภาคส่วน ต้องช่วยกัน รัฐบาลทำฝ่ายเดียวไม่ได้ อย่างใน กทม.มีผู้ร้องเรียนผู้ใช้จักรยานยนต์จำนวนมาก ว่ามีการขับรถปาดซ้าย ปาดขวา หรือแซงขึ้นมาอยู่ต้นทางไฟแดง ทำให้เกิดการกระทบกระทั่ง และความไม่เอื้ออาทรต่อกัน เมื่อรถติดไฟแดง รถอยู่ตรงไหนก็ขอให้อยู่ตรงนั้น ไม่ต้องพยายามขึ้นมาข้างหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี