วิกฤติภัยแล้ง-ทะเลหนุน
ประปาเค็มเกินมาตรฐาน
หลายพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประสบภาวะน้ำประปาเค็ม ที่เกิดจากภาวะภัยแล้ง และน้ำในเขื่อนมีน้อยไม่เพียงพอที่จะปล่อยมาผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา การประปานครหลวงเร่งแก้ไขปัญหา ขณะที่อธิบดีกรมอนามัยขออย่างตื่นตระหนก ยืนยันไม่กระทบสุขภาพ
เมื่อวันที่ 4 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่มีการพบว่า หลายพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ประสบภาวะน้ำประปาเค็ม ส่งผลให้บางครัวเรือนได้รับผลกระทบว่า ล่าสุด นายปริญญา ยมะสมิต ผู้ว่าการการประปานครหลวง (กปน.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดภาวะภัยแล้ง และน้ำในเขื่อนมีน้อย ไม่เพียงพอที่จะปล่อยมาผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งที่ผ่านมา กปน.ได้หลีกเลี่ยงการสูบน้ำดิบเพื่อการผลิตน้ำประปาในช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุนสูง
อีกทั้งประสานความร่วมมือในการบริหารจัดการน้ำกับสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และกรมชลประทานมาโดยตลอด แต่เนื่องจากสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงในปีนี้ รุนแรงสูงสุดในรอบ 50 ปี จึงยังคงมีความเค็มผ่านเข้ามาในระบบ ประกอบกับระบบผลิตน้ำของ กปน.ไม่สามารถกำจัดความเค็มออกจากน้ำดิบได้ จึงส่งผลให้รสชาติของน้ำประปาในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เปลี่ยนไปสามารถรับรู้ถึงรสชาติกร่อยเล็กน้อยในบางช่วงเวลา
ผู้ว่าการ กปน. กล่าวว่า ความเค็มในรูปคลอไรด์เกิน 250 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือโซเดียมเกิน 200 มิลลิกรัมต่อลิตร มีปริมาณสูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่มีผลต่อความน่าดื่มและการยอมรับ ทั้งนี้ กปน. ขอยืนยันในภารกิจที่ต้องผลิตน้ำประปาเพื่อให้บริการประชาชน ทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เบื้องต้น ขอแนะนำแนวทางการใช้น้ำประปาในช่วงภัยแล้ง ดังนี้ 1.ผู้ที่มีสุขภาพปกติ สามารถบริโภคน้ำประปาได้ โดยยังไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ แต่ด้วยรสชาติที่เปลี่ยนไปอาจส่งผลต่อความน่าดื่ม
ทั้งนี้ ความเค็มในรูปของโซเดียมในน้ำประปา ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับปริมาณโซเดียมในอาหารทั่วไปที่บริโภคในชีวิตประจำวัน 2.การใช้น้ำประปาเพื่อปรุงอาหารในช่วงเวลานี้ ควรลดการเติมเครื่องปรุงรสให้น้อยลง 3.กลุ่มเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยงการบริโภค ได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคไต โรคหัวใจ โรคความดันสูง โรคเบาหวาน โรคทางสมอง ผู้สูงอายุ และ เด็กเล็ก
อย่างไรก็ตาม กปน. จะเร่งบรรเทาความเดือดร้อนในกรณีดังกล่าว โดยนำน้ำประปาจากโรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำเค็ม มาจัดให้บริการ โดยประชาชนสามารถนำภาชนะมารับน้ำประปาดื่มได้ที่สำนักงานประปาสาขาใกล้บ้านท่านทั้ง 18 สาขา เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 6 ม.ค. 63 เป็นต้นไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า กรมอนามัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ำอุปโภคบริโภคได้เตรียมแผนรองรับภาวะแล้งฉุกเฉิน ซึ่งคาดการณ์ตั้งแต่เดือนมกราคม–พฤษภาคม 2563 เกือบทุกภาคของประเทศไทยจะมีปริมาณฝนรวมต่ำกว่าค่าปกติ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ประกอบกับสภาพอากาศหนาวเย็นและความชื้นต่ำ ส่งผลให้เกิดความแห้งแล้งมากขึ้น จากแนวโน้มภัยแล้งดังกล่าวส่งผลให้เกิดภาวะน้ำทะเลหนุนสูงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก่อให้เกิดภาวะน้ำประปาเค็ม ผู้ที่บริโภคน้ำประปาเป็นประจำอาจจะรับรู้ถึงรสชาติที่เปลี่ยนไปจากปกติในบางครั้ง
โดยความเค็มดังกล่าวมาจากเกลือโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกงที่ใช้ปรุงอาหาร ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดค่าแนะนำเพื่อความน่าดื่มและการยอมรับของผู้บริโภคไว้คือในน้ำประปา ควรมีโซเดียมไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อลิตรและคลอไรด์ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ถ้าเจือปนในน้ำมากเกินไปจะทำให้น้ำมีรสกร่อยถึงเค็มได้ ซึ่งทางโภชนาการและการแพทย์แนะนำว่ามนุษย์ควรรับโซเดียมเข้าสู่ร่างกายไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยปัจจุบันน้ำประปามีโซเดียมประมาณ 100–150 มิลลิกรัมต่อลิตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนปกติจะดื่มน้ำประปาจนได้รับโซเดียมเกินกว่าที่กำหนด ความเค็มจากน้ำประปาอาจเพิ่มโซเดียมเข้าสู่ร่างกายต่อวัน ในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
สำหรับคนปกติทั่วไป การดื่มน้ำกร่อยอาจได้รับโซเดียมเพิ่มเติมจากปกติ จึงควรลดปริมาณสารปรุงแต่งอาหารที่มีความเค็มลง เช่น เกลือ น้ำปลา ซีอิ้ว ซอสปรุงรส ผงปรุงรส งดการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น ขนมกรุบกรอบ มันฝรั่งทอด หรือเปลี่ยนเป็นใช้น้ำดื่มบรรจุขวด แทนจะดีกว่า
นายประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ(คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เปิดเผยว่า จากการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ในระหว่างวันที่ 1-5 มกราคม 2563 ความกดอากาศสูงอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลให้กรุงเทพฯ และปริมณฑล อุณหภูมิจะลดลง ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ซึ่งลักษณะดังกล่าว อาจสามารถช่วยบรรเทาการสะสมของฝุ่นละออง PM2.5 ได้
สำหรับในช่วงวันที่ 6-9 มกราคม 2563 ความกดอากาศสูงที่ปกคลุมจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ลมอ่อนหรือสงบในช่วงเช้า ประกอบกับรถยนต์ได้กลับเข้ามากรุงเทพฯ หลังจากหยุดในช่วงปีใหม่ในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลทำให้ปริมาณสะสมของฝุ่นละอองสูงขึ้น จะเป็นสาเหตุทำให้ค่าฝุ่น PM 2.5 สูงขึ้นไปด้วย
ทั้งนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. ได้กำชับและให้ คพ. ประสานงาน เพื่อให้หน่วยงานต่างๆได้ดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ในการป้องกันและลด มลภาวะฝุ่น PM 2.5 อย่างเข้มงวด เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฝุ่นละอองที่อาจเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากการเดินทางกลับเข้าสู่กรุงเทพมหานครในช่วงปลายสัปดาห์นี้ และต้นสัปดาห์หน้า
ขณะที่ศูนย์ประสานงานและแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละอองและหมอกควัน คพ.(ศปฝ.คพ) ได้เร่งประสานงานหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งประสาน งานภายในกับเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ปฏิบัติงาน ขอความร่วมมือดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง” และปฏิบัติการตามที่ได้หารือในการประชุมคณะอนุกรรมการ กำกับดูแลการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง”เพื่อลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี