"อธ.อัยการคดีอาญา"จับมือ"น.1-กองปราบ"จัดประชุมใหญ่นำร่องแก้ปัญหา"ตีกลับสำนวน-ส่งสำนวนช้า-ตามพยาน" มั่นใจเป็นทิศทางที่ดีขึ้นปชช.ได้ประโยชน์ แนวโน้มทำMOUแก้ปัญหาถาวร ส่วนเคสหมายจับ"ไวพจน์"วอนสื่อชี้เบาะแส-ให้ข้อมูลด้วย
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 14 มกราคม 2563 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ได้เป็นประธานการประชุมบูรณาการความร่วมมือในการดำเนินคดีอาญา ระหว่าง สำนักงานอัยการคดีอาญา , กองบัญชาการตำรวจนครบาล และกองบังคับการปราบปราม พร้อมดัวย พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. , พล.ต.ต.พัฒนา เพศยนาวิน ผบก.น.2 , พล.ต.ต.ธีระพงษ์ วงษ์รัฐพิทักษ์ ผบก.น.4 , พล.ต.ต.เมธี รักพันธุ์ ผบก.น.6 , พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์ รอง ผบก.ป. , พนักงานสอบสวนในสังกัด และพนักงานอัยการ เข้าร่วมประชุมกว่า 100 คน
นายสิงห์ชัย เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์การประชุมว่า การดำเนินคดีอาญาสำคัญกับทั้ง 3 หน่วยงาน ทุกภาคส่วนคาดหวังได้ความยุติธรรมจากพนักงานสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ทันยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวหน้า ที่ผ่านมาการทำงานของพนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนมีอุปสรรคล่าช้า บางครั้งไม่เป็นไปตามข้อตกลง เกิดความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น
ดังนั้น ตนจึงจัดการประชุมหารือแก้ไขปัญหาความล่าช้าเหล่านี้ที่เกิดขึ้น อาทิ ปัญหาเกี่ยวกับการส่งสำนวน และการสั่งสำนวน ที่ต้องทำให้มีความสมบูรณ์ สอบสวนเพิ่มเติมน้อยที่สุด รวมถึงการติดตามพยานมาเบิกความในชั้นศาล เพื่อบูรณาการหาทางออกร่วมกัน สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน ให้กระบวนการยุติธรรมเกิดความรวดเร็วคล่องตัว เมื่อได้ข้อสรุปในการแก้ไขปัญหาแล้ว จะนำไปสู่การทำบันทึกข้อตกลงนำเสนอผู้บังคับบัญชาของทั้ง 2 หน่วยงานต่อไป
"การประชุมหารือวันนี้เพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งเป็นการหารือระหว่างบุคลากรของอัยการและตำรวจนครบาลเขตพื้นที่ดำเนินคดีศาลอาญา ซึ่งเป็นเหมือนโครงการนำร่อง เพื่อบูรณาการหาทางออกร่วมกันที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในขบวนการยุติธรรมทางด้านการสอบสวน การสั่งสำนวนและการดำเนินคดีในชั้นศาลที่จะให้เกิดความรวดเร็วและคล่องตัวขึ้น" นายสิงห์ชัย กล่าว
ขณะที่ นายสิงห์ชัย อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ได้ตอบคำถามถึงความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาให้ทำเป็นข้อตกลงหรือ MOU ร่วมกันระหว่าง 3 หน่วยงาน ว่า วัตถุประสงค์ที่เชิญทางตำรวจนครบาลมาวันนี้เพื่อหารือแก้ไขข้อขัดข้องเกี่ยวกับเรื่องการอำนวยความยุติธรรม ซึ่งเป็นภารกิจหลักของทั้งสองหน่วยงานคือสำนักงานอัยการสูงสุดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นของประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้มีความรวดเร็ว โปร่งใส มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม โดยมีปัญหาบางประการที่ทำให้เกิดความล่าช้า เราจึงเชิญทางตำรวจนครบาลและกองปราบปราม มาร่วมหารือใน 3 หัวข้อ คือ การส่งสำนวน การพิจารณาสั่งสำนวนในชั้นอัยการให้มีความสมบูรณ์ สอบสวนเพิ่มเติมให้น้อยที่สุด และกระบวนการสืบพยานในชั้นศาล ซึ่งเราจะหารือกับทางพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบ และฝ่ายอัยการ เพื่อกำหนดแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหา เมื่อได้ข้อสรุปในวันนี้ก็อาจจะทำบันทึกข้อตกลงกัน เบื้องต้นระหว่างอัยการสำนักงานคดีอาญา ตำรวจนครบาลและตำรวจกองปราบปราม ซึ่งอาจจะเสนอให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของทั้ง 3 หน่วยงาน เพื่อทำบันทึกข้อตกลงหรือเอ็มโอยูต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการแก้ปัญหาเรื่องการสั่งสำนวนจะมีแนวทางการให้พนักงานอัยการลงพื้นที่ร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนทุกคดี นอกเหนือจากคดีใหญ่ที่ปฏิบัติอยู่หรือไม่นั้น นายสิงห์ชัย กล่าวว่า ปัจจุบันมีกฎหมายกำหนดให้ความผิดบางประเภทอัยการสามารุเข้าร่วมสอบสวนได้ เช่น ความผิดเกี่ยวกับเด็ก และความผิดนอกราชอาณาจักร โดยยังไม่ถึงกับเข้าร่วมสอบสวนทุกคดี ดังนั้น ในการแก้ปัญหาพนักงานอัยการก็จะประสานกับพนักงานสอบสวน ว่าทำอย่างไรจะให้พยานหลักฐานสมบูรณ์ชัดเจนขึ้น
ด้าน พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น.กล่าวว่า ในส่วนของสถานีตำรวจสังกัด บช.น.จะมีสถานีตำรวจอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานอัยการคดีอาญารวมทั้งสิ้น 26 สถานี เป็นสถานีตำรวจขนาดใหญ่ มีคดีจำนวนมาก จึงมีข้อขัดข้องเกี่ยวกับการจัดทำสำนวนการสอบสวน รวมทั้งการประสานงานการปฏิบัติกับฝ่ายอัยการไปบ้าง ในครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่ทางสำนักงานอัยการสูงสุดจัดการประชุม เพื่อแก้ไขปัญหาดังนี้ ปัญหาสำนวนการสอบสวนที่พนักงานอัยการไม่รับสำนวน การส่งสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติมล่าช้า การติดตามพยานบุคคลซึ่งศาลนัดพิจารณาคดี
เมื่อถามถึงปัญหาการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยตามหมายจับของศาล เช่น การจับกุมตัว พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จำเลยคดีล้มการประชุมอาเซียน ว่าเรื่องนี้ได้มีการหารือกับอัยการ เพื่อแก้อุปสรรคความล่าช้าด้วยหรือไม่ นายสิงห์ชัย กล่าวว่า การติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ คงจะเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการ
ขณะที่ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น.กล่าวว่า ก็เป็นแนวทางปกติอยู่แล้ว สำหรับบุคคลที่มีหมายจับ เราก็ประกาศสืบจับทั่วประเทศ และติดตามจับกุมอยู่แล้ว เมื่อพบตัวก็จะดำเนินคดีตามหมายจับ และหากสื่อมวลชนมีข่าวคราว หรือเบาะแส จะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบก็ยินดี อย่างไรก็ดี ในส่งของตำรวจเราก็เคยทำหนังสือถึงประธานสภาขออนุญาตที่จะติดตามควบคุมตัว พ.ต.ท.ไวพจน์ ตามหมายจับแล้วหากเดินทางมายังสภา
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาคดีใหญ่ที่เกิดขึ้นมีการตั้งขณะทำงานร่วมกัน เพื่อติดตามประสานงานให้สำนวนสมบูรณ์ยิ่งขึ้นหรือไม่ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ เปิดเผยว่า ปกติตำรวจและอัยการก็ประสานงานหารือร่วมกันอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาอาจจะมีความล่าช้าเรื่องธุรการอยู่บ้าง เมื่อถามว่า ทางตำรวจมีประเด็นอะไรจะเสนอทางสำนักงานอัยการคดีอาญา ที่ควรจะปรับจูนการทำงานร่วมกันบ้าง ตอนนี้ตำรวจก็ได้รับความร่วมมือและคำแนะนำจากพนักงานอัยการอยู่แล้ว แต่เราจะทำให้รวดเร็วขึ้น แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าการทำงานของ หน่วยงานมีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งภายหลังที่ได้มีการหารือกันเสร็จสิ้นวันนี้แล้ว เชื่อว่าการทำงานจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี