ที่ผ่านมา ผมมักจะเขียนเล่าเรื่องแอปเตอร์ หรือ องค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม ในด้านของความเป็นไปหรือกิจกรรมการดำเนินงานในประเทศสมาชิก คราวนี้ ผมขออนุญาตท่านผู้อ่านกลับมาเขียนเล่าถึงรูปร่างหน้าตาหรือองค์ประกอบต่างๆ ของแอปเตอร์ซึ่งเป็นส่วนภายในที่สำคัญ เพราะจริงๆ แล้วเรามีสำนักงานเลขานุการแอปเตอร์มาตั้งอยู่ในประเทศไทยเกือบจะสิบปีแล้ว แต่ก็ยังเป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนไม่มากเท่าที่ควร ทั้งที่เราก็พยายามประชาสัมพันธ์องค์กรมาอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะกิจกรรมของแอปเตอร์ไม่ค่อยเกิดผลกระทบโดยตรงต่อสังคมไทยเรามากนัก หรืออาจเนื่องจากประเทศไทยอยู่เย็นเป็นสุขไม่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติจนถึงขนาดต้องมีการช่วยเหลือด้านอาหารการกินก็เป็นได้ ก็ถือเป็นความโชคดีของคนไทยเราครับ
องค์ประกอบแอปเตอร์ที่สำคัญที่อยากจะพูดถึงเป็นสิ่งแรกในวันนี้ คือ กฎหมายคุ้มครองแอปเตอร์ ที่เรียกเต็มๆ ว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. 2559 ซึ่งรัฐสภาไทยได้ให้การอนุเคราะห์ผ่านกฎหมายฉบับนี้ พร้อมทั้งประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 133 ตอนที่ 67 ก เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2559 แต่มีผลบังคับใช้ในวันถัดมา คือ วันที่ 6 สิงหาคม 2559
ก่อนที่จะเล่าถึงสาระของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ผมขออนุญาตขอบคุณสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โดยกองเศรษฐกิจการเกษตรระหว่างประเทศ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกองเกษตรต่างประเทศรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องอื่นทุกท่านที่ได้กรุณาช่วยกันทุ่มเทผลักดันการปรึกษาหารือ ยกร่าง ชี้แจง ปรับปรุงแก้ไข จนกระทั่งกฎหมายนี้สามารถผ่านกระบวนการของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ออกมาได้ โดยใช้เวลานานพอสมควร คือ จากเริ่มต้นจนสำเร็จสมบูรณ์นับเป็นปีๆ ทั้งนี้ เพราะการออกกฎหมายที่ว่านี้ เป็นการรับปากหรือคอมมิทเมนท์ ของทางการไทยต่อประเทศสมาชิกแอปเตอร์ทั้ง 13 ประเทศ ว่าประเทศที่อาสาเป็นเจ้าภาพ หรือเป็นที่ตั้งของสำนักงานจะต้องมีกฎหมายคุ้มครองการดำเนินงานของแอปเตอร์ด้วย เรื่องของการออกกฎหมายในลักษณะนี้ ถือเป็นพิธีการหรือโปรโตคอลสำคัญที่บรรดาองค์การหรือองค์กรระหว่างประเทศทั้งหลายที่มีที่ตั้งในประเทศหนึ่งๆ มีความปรารถนาอย่างยิ่ง
สมัยก่อนที่ผมยังอยู่ที่กรมการข้าวนั้น สถาบันวิจัยข้าวระหว่างชาติ หรือ อีรี่ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ก็พยายามเข้าหาและร้องขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรา ร่างกฎหมายให้การคุ้มครองสำนักงานอีรี่สาขาประเทศไทย ที่อาศัยอาคารของกรมการข้าวอยู่ ตอนนั้นก็มีการเจรจากันหลายรอบ เจ้าหน้าที่อีรี่ทั้งฝรั่งและคนฟิลิปปินส์บินไปมาระหว่างมะนิลา กรุงเทพฯ อยู่หลายรอบ แต่กระนั้น การออกกฎหมายแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะประเทศเจ้าภาพก็คงต้องดูปัจจัยองค์ประกอบหรือรายละเอียดขององค์กรที่จะมาตั้งอยู่หลายประการด้วยกันว่าเข้าหลักเข้าเกณฑ์หรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งด่านสำคัญ คือกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเขามีหลักเกณฑ์อยู่ ใช่ว่าอะไรๆ ก็จะขอคุ้มครองได้ทั้งหมด เนื่องจาก “การคุ้มครอง” ที่กล่าวนั้น ส่วนใหญ่จะหนักไปทางการยกเว้นภาษีเป็นประการแรก และที่รองลงมาคือเอกสิทธิ์ทางการทูต คือ จะว่าไปกฎหมายคุ้มครองจะเกิดประโยชน์ต่อคนต่างประเทศผู้เข้ามาทำงานในองค์กรมากกว่าประโยชน์ของประเทศเจ้าภาพจะได้รับนั่นเอง นอกเสียจากหน้าตา ชื่อเสียงและผลประโยชน์อื่นทางอ้อมนิดหน่อยที่เจ้าภาพอาจได้อยู่บ้าง ในที่สุดจนป่านนี้กฎหมายคุ้มครองอีรี่ที่เขาต้องการอย่างมาก เท่าที่ผมทราบ ก็น่าจะยังไม่สำเร็จ
พระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ.2559 นี้ ความจริงแล้ว เป็นกฎหมายสั้นกะทัดรัดมาก เพราะมีอยู่ด้วยกันเพียง 8 มาตรา และมาตราส่วนมากจะเกี่ยวกับรูปแบบมาตรฐานการเขียนกฎหมายทั่วไป เช่น มาตรา 1 เป็นเรื่องของชื่อกฎหมาย มาตรา 2 วันใช้บังคับ มาตรา 3 ความหมายคำต่างๆ และข้ามไปมาตราสุดท้ายหรือมาตรา 8 คือ เกี่ยวกับผู้รักษาการกฎหมาย ส่วนสาระจริงๆ ก็มีเพียง 4 มาตรา ซึ่งคงต้องมาพูดต่อในฉบับหน้า
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี