มาว่ากันต่อในเรื่องของพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ.2559 นะครับ
สาระสำคัญของพระราชบัญญัตินี้ มีอยู่เพียง 4 มาตรา คือ มาตราที่ 4 ถึง มาตราที่ 7 นอกเหนือจากมาตราต้นๆ และท้ายสุดที่โดยมาตรฐานในการเขียนกฎหมายต้องมี ดังที่กระผมได้กล่าวไปแล้วในฉบับที่ผ่านมา ส่วนการเล่าถึงสาระสำคัญเหล่านี้ ผมขออนุญาตว่ารวมๆ กันไปโดยไม่แยกพูดเป็นรายมาตรา เพราะมิฉะนั้น เดี๋ยวจะกลายเป็นเลคเชอร์ตำราวิชากฎหมายไป
เริ่มแรกในการคุ้มครองสำนักเลขานุการแอปเตอร์ หรือบางคนชอบเรียกสั้นๆ ว่า ฝ่ายเลขาฯแอปเตอร์ พระราชบัญญัติได้กำหนดให้สำนักงานแอปเตอร์เป็นนิติบุคคล และมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย อันนี้ขอเน้นก่อนนะครับว่า การคุ้มครองของพระราชบัญญัตินี้นั้น คุ้มครองเฉพาะสำนักเลขานุการที่ตั้งอยู่ที่อาคารสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้แก่ ทรัพย์สิน บุคลากร และสิทธิประโยชน์ต่างๆ นะครับ หากแต่มิได้รวมไปถึงการคุ้มครองตัวองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามซึ่งถือเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลหรือระหว่างชาติ ที่บรรดาประเทศสมาชิก 13 ประเทศร่วมกันจัดตั้งขึ้นตามข้อตกลงแอปเตอร์ เพราะนั่นเป็นกิจการนอกเขตอำนาจของทางการไทยเรา ข้อดีของสภาพการเป็นนิติบุคคลของฝ่ายเลขาฯแอปเตอร์นี้ เห็นได้ชัดประการแรกเลยก็คือสามารถทำนิติกรรมต่างๆ ได้ด้วยตนเอง
ในสมัยก่อนฝ่ายเลขาฯแอปเตอร์ เวลาจะทำธุรกรรมต่างๆ กับธนาคารไทย จำเป็นต้องอาศัยในนามของ สศก. เพราะเป็นหน่วยงานระดับนิติบุคคลไทย ที่ได้รับมอบหมายให้อำนวยความสะดวกให้แอปเตอร์ แต่ปัจจุบันไม่ต้องแล้ว ฝ่ายเลขาฯแอปเตอร์ สามารถทำธุรกรรมต่างๆ กับธนาคารได้โดยตรง ตลอดจนสามารถจัดซื้อจัดจ้างกับภาคเอกชนได้โดยอิสระ และมีผลผูกพันธ์ตามกฎหมายไทย กล่าวคือสามารถฟ้องร้องและถูกฟ้องร้องได้ในขณะเดียวกัน แต่กระนั้น สำนักเลขานุการแอปเตอร์ก็มิใช่ส่วนราชการของ สศก. หรือส่วนราชการใดๆ แห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบของทางการไทย ไม่ว่าจะเป็น สตง. หรือ ปปช.หรือหน่วยตรวจสอบไทยอื่นๆ ในทุกกรณี หากแต่ต้องถูกตรวจสอบโดยผู้ตรวจสอบบัญชีเอกชนที่ระเบียบกำหนดว่าทุกปี ฝ่ายเลขานุการแอปเตอร์ต้องมีการจ้างให้ดำเนินการเป็นรายปีเมื่อสิ้นปีปฏิทิน แล้วจะต้องนำเสนอคณะมนตรีแอปเตอร์ หรือ APTERR Council ในที่ประชุมประจำปีอีกด้วย
ความเป็นไปในเรื่องความเป็นนิติบุคคลนี้ เผอิญในยุคที่ผมมาเป็นผู้บริหารสำนักเลขานุการแอปเตอร์ตั้งแต่ ปี 2559 ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างที่มีพระราชบัญญัติฉบับนี้พอดี ก็ได้มีการปรับปรุงแบบแผนและวิธีการบริหารงานกันขนานใหญ่ แล้วเราก็ได้มีการประชาสัมพันธ์สำนักงานกัน เริ่มตั้งแต่ผมได้จัดงานวันครบรอบสถาปนาการจัดตั้งแอปเตอร์ ที่ออฟฟิศ โดยจัดนิทรรศการย่อมๆ ถึงที่มาและวิธีการดำเนินงาน ตลอดจนผลสำเร็จของการทำงาน ที่สำคัญคือ ได้เชิญบุคคลสำคัญมาร่วมงานและร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่จัดแบบง่ายๆ บุคคลสำคัญที่ผมและทีมงานเชิญ เช่น ท่านเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกแอปเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ท่านเลขาธิการ สศก ท่านนายกสมาคมชาวนาต่างๆ นายก ผู้ส่งออกข้าว นายก โรงสี และผู้มีเกียรติอื่นๆ บรรยากาศชื่นมื่นดี แม้ว่าตัวท่านทูตประเทศต่างๆ อาจติดภารกิจไม่ได้มาร่วม แต่ก็ยังส่งผู้แทนที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมจำนวนไม่น้อยทีเดียว
การประชาสัมพันธ์องค์กรอีกวิธีหนึ่ง คือ การออกไปจัดนิทรรศการครับ ผมและคณะอาศัยว่า ที่กรมการข้าว ได้มีการจัดงานวันข้าวและชาวนาแห่งชาติเป็นประจำทุกปี ในวันที่ 5 มิถุนายน เขามีบูธให้สามารถจองเพื่อจัดนิทรรศการได้ ทางพวกเราก็ได้อาศัยจังหวะนี้ เข้าไปร่วมจัดนิทรรศการให้สาธารณชนได้รู้จักกับองค์กรของเราให้มากขึ้น นอกจากนี้ ผมยังได้ออกอากาศรายการวิทยุตอนเช้า ชื่อ กู๊ดมอร์นิ่งอาเซียน ซึ่งเป็นรายการที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นไปของประเทศในอาเซียนด้วย ก็คงจะช่วยให้สำนักเลขานุการแอปเตอร์ได้มีโอกาสผ่านหูผ่านตาท่านผู้อ่านบ้างละครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี