“ความพิการ” เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่อยากประสบ ยิ่งผู้ที่เคยครบ 32 วันหนึ่งต้องสูญเสียอวัยวะบางส่วนไป นอกจากจะทำให้ชีวิตลำบากขึ้นเพราะไม่สามารถทำอะไรๆ ได้สะดวกเหมือนแต่ก่อน ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจที่อาจมองว่าคุณค่าของตนเองลดลงจนบางรายตัดสินใจฆ่าตัวตายที่ผ่านมาจึงมีความพยายามพัฒนาอุปกรณ์เพื่อช่วยให้คนพิการสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงคนร่างกายปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อาทิ “แขนกล” อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำลองรูปร่างแขนของมนุษย์โดยเชื่อมเข้ากับระบบประสาท
เมื่อเร็วๆ นี้ ผศ.ดร.นพรัตน์ธรรมวงษา อาจารย์สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และระบบอัตโนมัติ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เปิดเผยว่า ตนและทีมงานได้พัฒนา “มือเทียมกลควบคุมผ่านตัวรับสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อ” จากความท้าทายที่ว่า แม้ปัจจุบันทั่วโลกจะมุ่งพัฒนามือเทียมกลที่ตอบสนองการเคลื่อนไหวแก่คนพิการ แต่ยังมีราคาแพงเข้าถึงยากหากเทียบกับระดับรายได้ของคนทั่วไป
โครงการดังกล่าวซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก “สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)” แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.การสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนากายอุปกรณ์ในการพิมพ์มือเทียมกลจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ โดยทีมวิจัยออกแบบและใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติ พิมพ์มือเทียมกลให้มีความหลากหลายเหมาะกับคนพิการได้แล้ว 10 รูปแบบ (ออกแบบมือเทียมกลฯ ตั้งแต่ข้อมือ กลางมือ ตอข้อศอก และเหนือข้อศอก โดยแบ่งข้างซ้ายกับขวารวมเป็น 10 แบบ) จากตัวอย่างคนพิการ 12 ราย
และ 2. การสร้างแพลตฟอร์มสัญญาณควบคุมด้วยการใช้เซ็นเซอร์ตัววัดสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อของคนพิการ เป็นการสร้างแพลตฟอร์มใหม่ที่ทำหน้าที่ตรวจจับสัญญาณสั่งการจากสมอง เป็นสัญญาณไฟฟ้าผ่านกล้ามเนื้อแขน โดยเมื่อคนพิการใส่มือเทียมกลที่ออกแบบไว้ เซ็นเซอร์ตรวจสัญญาณไฟฟ้าที่กล้ามเนื้อ หรือ ElectromyographyMuscle Sensor ซึ่งเชื่อมต่อกับมือเทียมกลจะทำการตรวจชุดสัญญาณไฟฟ้าที่ถูกสั่งการจากสมอง และนำมาสั่งการชุดควบคุมของมือเทียมกลให้ทำงาน เช่น “กำ-แบ” มือ เป็นต้น
ผศ.ดร.นพรัตน์กล่าวต่อไปว่าทีมวิจัยยังได้พัฒนาชุดเซ็นเซอร์แบบเบ็ดเสร็จให้คนพิการใช้งานได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถสวมมือเทียมกลนี้ใส่แขนได้ทันที โดยเสียบสวิตช์กับมอเตอร์ก็ทำงานได้ไม่ต้องเขียนโค้ดอะไรเพิ่มเติม ช่วยให้นักกายอุปกรณ์ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากในการต่ออุปกรณ์ ส่วนการพัฒนาต่อยอดในอนาคต ทีมวิจัยเตรียมออกแบบไมโครคอนโทรลเลอร์ให้เซ็นเซอร์และชุดควบคุมอยู่ด้วยกัน และออกแบบแพลตฟอร์มระบบการรู้จำว่ามือเทียมกลสำหรับคนพิการแขนต้องมีฟังก์ชั่นการทำงานอย่างไรบ้าง
ที่สำคัญทีมวิจัยยังมองไปถึงขั้นการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มือเทียมกลเฉพาะบุคคลด้วย เนื่องจากรูปแบบมือเทียมกลกับรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของมือเทียมกลที่พัฒนาขึ้นนี้คือ สามารถสั่งการได้ฟังก์ชั่นเดียวคือ การกำ-แบมือ เนื่องจากกล้ามเนื้อของคนพิการแต่กำเนิดแทบไม่เคยถูกพัฒนามาก่อน หรือแม้แต่คนพิการอุบัติเหตุแขนขาดส่วนใหญ่ ไม่มีมัดกล้ามเนื้อที่จะทำให้เกิดสัญญาณไฟฟ้าที่หลากหลายได้
ตัวอย่างมือเทียมกลนี้ ทีมวิจัยได้ติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าในกล้ามเนื้อคนพิการถึง 8 ตัว แต่ตรวจจับสัญญาณได้เพียงจุดเดียวเท่านั้น จึงออกแบบฟังก์ชั่นการทำงานได้เพียงแบบเดียวโดยเลือกเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าให้สั่งการเป็นการกำหรือแบบมือเพื่อกำหรือวางสิ่งของ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตประจำวันที่สุด แต่หากในอนาคตคนพิการสามารถพัฒนากล้ามเนื้อให้ทำงานได้มากขึ้น เซ็นเซอร์ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าได้มากขึ้น ก็อาจจะพัฒนาให้สั่งการทำงานแยกนิ้วทั้ง 5 นิ้ว แยกการทำงานฟังก์ชั่นอื่นเหมือนคนปกติได้ เช่น การขยับนิ้ว เป็นต้น
ผศ.ดร.นพรัตน์ ยังกล่าวอีกว่า ทีมวิจัยมองไปถึงการพัฒนาเซ็นเซอร์ให้ขาเทียมด้วย เพราะขณะนี้สามารถใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ออกแบบพิมพ์เบ้าอวัยวะขาเทียมให้มีน้ำหนักเบาแต่ยังคงความแข็งแรงทนทานเหมือนขาจริงที่ใช้งานได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบเซ็นเซอร์และฟังก์ชั่นการทำงานของขาเทียมกล หวังว่าจะเป็นการต่อยอดนวัตกรรมที่จะช่วยคนพิการขาได้ด้วยสำหรับโรงพยาบาล ผู้ประกอบการนักกายอุปกรณ์ ที่สนใจเทคโนโลยีมือเทียมกล สามารถติดต่อได้ที่ 098-5985955 หรือ อีเมล nopthamma@gmail.com
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี