1.การยกระดับคุณภาพการศึกษา คือ วาระเร่งด่วนที่คนไทยตั้งความหวังกับกระทรวงศึกษาธิการมาเป็นเวลานานแล้ว แต่คุณภาพนักเรียนก็ยังไม่ดีขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น มาเลเซีย และเวียดนาม คำถามที่ต้องการคำตอบคือ อะไรเกิดขึ้นในกระทรวงศึกษาธิการ และเพราะเหตุใดกระทรวงศึกษาธิการจึงไม่สามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาได้ตามความคาดหวัง ดังนั้น ผมจึงขออาสาพาทุกท่านเดินเข้าไปในกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจะพาไปเห็นภาพของคำตอบของคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน และแจ่มชัดยิ่งขึ้น
โดยกระทรวงศึกษาธิการและองคาพยพตั้งแต่ระบบใหญ่สุดไปจนถึงตัวนักเรียน ประกอบด้วยกลไก 4 ขั้น คือ 1) ระบบหลัก 3 ระบบ คือ ระบบคุรุสภา, ระบบบริหารงานบุคคล (กคศ.) และระบบสวัสดิการและสวัสดิภาพครู(สก.สค.) 2) ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 3) ระบบเขตพื้นที่การศึกษา (สพม.) 4) ระบบโรงเรียนและชั้นเรียน
ปัญหาสำคัญที่ขวางกั้นการยกระดับคุณภาพการศึกษา คือ กลไกทั้ง 4 ขั้นนี้ทำงานอย่างไม่สอดคล้องกัน กำกับควบคุมกันไม่ได้ และที่สำคัญคือ แต่ละกลไกไม่ได้เน้นไปที่งานหลักของตน
2.หนึ่ง ระบบหลัก 3 ระบบของกระทรวงศึกษาธิการ คือ ระบบคุรุสภา สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นกลไกที่จะกำหนดและกำกับมาตรฐานของคุณภาพการศึกษาให้เกิดขึ้นกับตัวนักเรียน แต่ความเป็นจริงที่ปรากฏคือ คุรุสภาทำหน้าที่เพียงกำหนดมาตรฐานวิชาชีพครูและส่งความต้องการนี้ไปให้คณะศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อออกแบบหลักสูตรและการเรียนการสอนให้กับนักศึกษา ดังนั้น ผลที่ปรากฏคือ บัณฑิตที่จบจากคณะศึกษาศาสตร์ที่ออกไปเป็นครูสอนหนังสือไม่เป็น แต่ได้รับใบประกาศนียบัตรวิชาชีพครูจากคุรุสภา
สำหรับคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นกลไกที่จะกำกับให้อัตราส่วนจำนวนครูต่อจำนวนนักเรียนเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด (1:25)ดังนั้น กคศ. จึงเป็นกลไกที่ถือบัญชีจำนวนครูในแต่ละโรงเรียนเพื่อให้ครูแต่ละสาระวิชามีจำนวนสัมพันธ์กับจำนวนชั้นเรียนและนักเรียน ซึ่งในความเป็นจริง พบว่า จำนวนครูต่อจำนวนนักเรียนทั่วประเทศสอดคล้องตามเกณฑ์ที่กำหนด แสดงว่าประเทศไทยไม่ขาดแคลนครู แต่เมื่อลงไปดูในระดับโรงเรียนและชั้นเรียนกลับพบว่า มีครูสาระวิชาไม่เพียงพอตามเกณฑ์ และเกิดปัญหาการขาดแคลนครู โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็ก
ส่วนระบบสวัสดิการและสวัสดิภาพครูที่คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นกลไกที่สร้างความมั่นคงให้กับชีวิตครู ให้ครูมีสวัสดิการและสวัสดิภาพต่างๆ แต่ในความเป็นจริงพบว่า เงินเดือนและค่าตอบแทนของครูโดยเฉลี่ยสูงกว่าข้าราชการพลเรือนทั่วไป (แม้กระทั่งอาจารย์มหาวิทยาลัย) กระนั้นครูส่วนใหญ่ก็ยังมีหนี้สินมากมาย จนเป็นปัจจัยที่ทำให้ไม่มีความมั่นคงในชีวิตและส่งผลกระทบต่อความตั้งใจและทุ่มเทในการเรียนการสอน
3.สอง กลไกขั้นที่ 2 ที่ตั้งบนเสาหลัก 3 เสานี้ คือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่รับผิดชอบการจัดการเรียนการสอนระดับอนุบาล, ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา โรงเรียนกว่า 40,000 แห่ง ครูอีกหลายแสนคนและนักเรียนหลายล้านคน พร้อมกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีกว่า 300,000 ล้านต่อปี ดังนั้น สพฐ. คือเครื่องจักรที่ใหญ่สุดของกระทรวงศึกษาธิการที่จะขับเคลื่อนคุณภาพการเรียนการสอนเพื่อยกระดับคุณภาพของนักเรียน ซึ่งที่ผ่านมากลไกนี้มีความสามารถสูงต่อการสนองนโยบายทางการเมืองที่เปลี่ยนไปตามคนที่เป็นรัฐมนตรีและรัฐบาล แต่มีความอ่อนแอที่จะกำกับคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียน
เมื่อปัญหาพื้นฐานที่สำคัญของ สพฐ. คือการไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพในโรงเรียนและชั้นเรียนได้ งบประมาณมหาศาลในแต่ละปีจึงเป็นงบประมาณที่ต้องจ่ายเพื่อการคงสภาพโรงเรียนและครูเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการเรียนการสอนก็เดินไปตามสภาพดังเช่นที่ผ่านมา
สาม กลไกขั้นที่ 3 ที่ตั้งบนโครงสร้างของ สพฐ. คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มีทั้งระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา หลักการสำคัญของสำนักงานเขตพื้นที่ (สพท.) คือการบริหารโรงเรียนในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบให้สามารถจัดการเรียนการสอนอย่างมีคุณภาพ สพท. มีศึกษานิเทศก์ (ศน.) เป็นเครื่องมือสำคัญ หน้าที่ ศน. ที่กำหนดไว้คือ การศึกษาวิจัยโรงเรียนและชั้นเรียน เพื่อนำไปช่วยปรับปรุงคุณภาพโรงเรียนและชั้นเรียน แต่ในความเป็นจริง พบว่า สพฐ. ไม่ได้มอบอำนาจให้ สพท. เพื่อให้สามารถพัฒนาโรงเรียนและชั้นเรียนในพื้นที่ที่รับผิดชอบได้ ดังนั้น การศึกษาวิจัยที่ สพท. ต้องทำโดย ศน. จึงไม่ได้เป็นประโยชน์กับโรงเรียนที่ สพท. รับผิดชอบ
4.สี่ กลไกขั้นที่ 4 ตั้งบนพื้นฐานของ สพท. คือ โรงเรียนและชั้นเรียน คุณภาพการศึกษาเกิดขึ้นที่โรงเรียนและชั้นเรียน นั่นหมายความว่า การยกระดับคุณภาพการศึกษาเกิดขึ้นได้ที่ชั้นเรียนเท่านั้น ดังนั้น ครูต้องมีความรู้ในสาระวิชาที่สอน ครูต้องมีวิธีการสอนที่ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ และครูต้องมีใจที่อยากสอนและทุ่มเทให้กับการสอน ส่วนนักเรียนต้องมีความสนใจและตั้งใจที่จะคิดและแก้โจทย์ปัญหาตามที่ครูชี้นำ นักเรียนจะต้องสรุปประเด็นของสาระหรือเนื้อหาที่ครูนำเสนอพร้อมกับสาระที่เพื่อนนักเรียนช่วยกันคิดและอภิปรายตอบโจทย์ปัญหาของครู และบรรยากาศในชั้นเรียนต้องเป็นสภาพแวดล้อมที่เปิดให้นักเรียนคิด และเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ครูต้องเตรียมออกแบบมาก่อน เมื่อนักเรียนฝึกปฏิบัติวิธีการเรียนเช่นนี้จนเป็นนิสัยแล้ว กระบวนการสอนของครูสู่การเรียนรู้ของนักเรียนก็จะพัฒนากลายเป็นประเพณีปฏิบัติหรือวัฒนธรรมการเรียนรู้ของชั้นเรียนไปในที่สุด
ถึงเวลาแล้วครับ ที่การศึกษาไทยจะต้องมี “ความแม่นยำ” คือ การระดมสรรพกำลังทั้งหมดเล็งตรงเป้าหมายไปที่ตัวนักเรียน และวัดผลสำเร็จด้วยคุณภาพของตัวนักเรียนตั้งแต่สมรรถนะ (Competencies), ทักษะ (Skills),อัตลักษณ์ (Character) และจริยธรรมและศีลธรรม (Ethics and Morals) ของนักเรียน นี่คือ“การศึกษาแม่นยำ” ที่ประเทศไทย และคนไทยต้องการครับ
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี