เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวว่า ในวันนี้ตนได้เชิญเอกอัครราชทูตหลายๆ ประเทศ และตัวแทนทูตจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสาร มาหารือเพื่อขอความร่วมมือในการหาครูชาวต่างชาติที่สอนวิชาภาษาอังกฤษ หรือสอนวิชาอื่นๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อมาสอนในโรงเรียนประเทศไทย ซึ่งหลังจากหารือวันนี้แล้วทางสถานทูตต่างๆ ก็จะไปหาแนวทางที่จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลต่อรัฐบาล สามารถมีโปรแกรมที่จะนำครูต่างชาติมาที่สอนวิชาภาษาอังกฤษในโรงเรียนของไทยต่อไป
รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยต้องการครูต่างชาติสอนวิชาภาษาอังกฤษหลายพันคน แต่ที่ผ่านมาโรงเรียนต่างๆอาจจะหาครูไม่ได้ วันนี้ ศธ.จึงขอความร่วมมือจากหลายๆ ประเทศ มานำเสนอโครงการต่างๆ และวันนี้ได้บอกเป้าหมายไปว่าไทยเราต้องการครูต่างชาติอย่างน้อย 1 หมื่นคน และมากสุดที่วางแผนไว้ ซึ่งน่าจะรับได้ถึง 2.8 หมื่นคน ของงบปี 2564 ซึ่งเรื่องนี้สำคัญ เพราะเราต้องการยกระดับในการใช้ภาษาอังกฤษของเด็กนักเรียนไทย ให้เกิดความคุ้นเคย และสร้างความมั่นใจ ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างโอกาสให้เด็กได้รับความรู้และข้อมูลเพิ่มเติมในโลกออนไลน์ ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ก็หวังว่าตรงนี้จะทำให้ระบบการศึกษาไทย สำหรับเด็กๆ และคุณครู ได้ยกระดับภาษาอังกฤษดีขึ้น เพราะการที่มีครูต่างชาติอยู่ที่โรงเรียน ไม่เฉพาะเด็กที่ได้ประโยชน์ครูก็ได้ประโยชน์ด้วย
ส่วนที่มีข้อห่วงใยถึงสำเนียงของครูสอนภาษาอังกฤษในบางประเทศนั้น ตนก็เข้าใจดี แต่ถามว่าถ้าเราสร้างขีดจำกัดแต่เราก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่เราอยากทำ และเราอยากได้ครูอเมริกันมาสอนภาษาอังกฤษ แต่เราหาไม่ได้ ในขณะเดียวกันถ้าเราหาได้ แต่เขาอยู่ไม่ได้ในการใช้ชีวิตในประเทศไทย ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้น ตนจึงอยากให้ทุกคนทำความเข้าใจถึงความจำเป็น ว่าในการที่เราหาครูภาษาอังกฤษ เพราะเราต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้เด็กๆ คุ้นเคย หรือครูเกิดความคุ้นเคยกล้าพูดภาษาอังกฤษ และกล้าแสดงออก ดังนั้น ถ้าเรายอมรับในบริบทของประเทศต่าง ๆเราก็น่าจะบริหารจัดการได้และเทคโนโลยีก็สามารถนำมาช่วยเสริมให้เด็กพูดสำเนียงที่ชัดขึ้นในอนาคต ซึ่งประเทศที่เจริญมากๆในเอเชีย เช่น สิงค์โปร์ สำเนียงภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เหมือนอังกฤษหรืออเมริกัน ดังนั้น ตนจึงคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะกังวล ที่สำคัญขอให้หาครูสอนภาษาอังกฤษให้ได้ และเป็นครูที่สอนเด็กให้สนุก เด็กมีความเชื่อมั่น ตรงนี้น่าจะสำคัญมากกว่า
รมว.ศธ.กล่าวถึงงบฯ ค่าใช้จ่าย ว่า ไม่มีปัญหาเพราะรัฐบาลเตรียมจัดสรรคไว้แล้ว และเมื่อรวมกับงบปี 2563 ของโรงเรียนต่างๆ ที่ต้องการจ้างครูต่างชาติประมาณ 7 พันกว่าคน แต่หาครูไม่ได้ ซึ่งงบในส่วนนี้ก็น่าจะแบ่งเบาพาระงบได้พอสมควร ส่วนงบจ้างครูภาษาอังกฤษของปี 2564 ศธ.เสนอขอไปแล้วหลายร้อยล้านบาท และมีงบในส่วนที่ลดสิ่งอื่นลงส่วนหนึ่งก็จะนำมาใช้ ดังนั้น การเพิ่มครูภาษาอังกฤษให้กับโรงเรียนต่างๆ ที่มีความจำเป็นและมีแผนงานชัดเจน ก็สามารถทำได้ตั้งแต่ในปี 2563 รวมกับแผนงานอื่นๆ ของ ศธ.เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระดับปฐมวัย ระดับประถมฯ มัธยมฯ และระดับอาชีวะ โดยจะเสนอรัฐบาลเพื่อขอใช้งบกลาง
ส่วนเรื่องใบประกอบวิชาชีพของครูภาษาอังกฤษ เบื้องต้นเราต้องการครูที่สอนวิชาภาษาอังกฤษโดยตรง แต่ถ้าไม่มี ซึ่งประเทศญี่ปุ่นรับคนที่พูดภาษาอังกฤษ แต่ไม่ได้จบการสอนภาษาอังกฤษ ดังนั้น หากเราจำเป็นต้องใช้ครูสอนภาษาอังกฤษ ก็ให้เทรนการสอนภาษาอังกฤษ หรือปรับมาตรฐานภาษาอังกฤษให้ได้มาตรฐานอย่างที่เราต้องการ ใครที่ไม่ผ่านการทดสอบ ก็ไม่สามารถมาสอนได้ ซึ่งอาจจะไม่ใช้ใบประกอบวิชาชีพครู แต่ใช้เป็นใบรับรองการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งตนคิดว่าการที่เรามีกรอบระเบียบ แต่ไม่มีการยืดหยุ่น สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้เป้าหมายที่เราต้องการ
"การพูดคุยในวันนี้ เป็นการทำความเข้าใจกับสถานทูตต่างๆ เพื่อขอความร่วมมือให้ช่วยผลักดันในเรื่องนี้ และได้เชิญเครือข่ายเดิมที่ทำเรื่องภาษาอังกฤษกับ ศธ.มาพูดคุยด้วย เราต้องการครูภาษาอังกฤษจำนวนมาก เพราะเรากำลังยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ" รมว.ศธ.กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี