เมื่อเร็วๆ นี้ คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงการพัฒนาอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลืองานทางการแพทย์3 ชนิด ประกอบด้วย 1.หุ่นยนต์แพทย์อัจฉริยะ DoctoSight สำหรับการวินิจฉัยและรักษาผ่านระบบโทรเวช (Telemedecine)เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ไม่ต้องเข้าใกล้หรือสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ จุดเด่นของหุ่นยนต์นี้สามารถทำงานร่วมกันได้มากกว่าหนึ่งตัวเพื่อตอบสนองคำสั่ง ในการตรวจสอบข้อมูลการทำงานในเชิงดิจิทัลในรูปแบบของการทำงานหุ่นยนต์
เช่น เวลาการบังคับของผู้ใช้งานการระบุตำแหน่งหุ่นยนต์ที่มากกว่าหนึ่งตัวในระบบควบคุม ทั้งนี้ หุ่นยนต์ทั้งหมดในระบบนั้นจะมีหน้าที่ในการรับส่งของมูลระหว่างกันเพื่อทำการอัพเดตสถานะ การทำงานภายในโรงพยาบาลและสามารถควบคุมได้ผ่านแอพพลิเคชั่นควบคุมหุ่นยนต์ที่ถูกพัฒนาและออกแบบขึ้น โดยระบบควบคุมจะประกอบด้วย 1.1 ระบบควบคุมหุ่นยนต์แบบสั่งการพิกัดตำแหน่งเป้าหมายสำหรับหุ่นยนต์มากกว่าหนึ่งตัวในระบบปฏิบัติการและระบบนำทางอัตโนมัติของหุ่นยนต์แพทย์อัจฉริยะภายในสภาพแวดล้อมที่กำหนด
1.2 ระบบควบคุมหุ่นยนต์ทางไกลแบบกึ่งอัตโนมัติสำหรับหุ่นยนต์มากกว่าหนึ่งตัวในระบบปฏิบัติการ 1.3 ระบบติดตามการทำงานของหุ่นยนต์มากกว่าหนึ่งภายในระบบปฏิบัติการ และ 1.4 ระบบผสานงานข้อมูลพื้นฐานของหุ่นยนต์มากกว่าหนึ่งตัวในระบบปฏิบัติการ เช่นการอัพเดตสิ่งกีดขวางหรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ระบบยังสามารถถูกพัฒนาต่อยอดในด้านของระบบโลจิสติกส์ภายในโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการทำงานของการแพทย์ทางไกลและระบบหุ่นยนต์
โดยโรงพยาบาลสามารถวางแผนให้ตัวหุ่นยนต์ทำงานเป็นกิจวัตร ภายในช่วงระยะเวลาที่กำหนดได้โดยไม่ต้องใช้คนควบคุม ระบบจะอาศัยแพทย์หรือพยาบาลเฉพาะตอนที่ให้คำปรึกษากับคนไข้ผ่านตัวหุ่นยนต์ ซึ่งช่วยในการลดภาระการทำงานของแพทย์ พยาบาล เช่น วัดชีพจร วัดความดันเลือด วัดอัตราการเต้นของหัวใจ เป็นต้น ส่วนกลางของตัวหุ่นยนต์ออกแบบเป็นช่องเก็บของ ทั้งช่วยลำเลียงยาและวัสดุไปยังคนไข้ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพที่โรงพยาบาลจะได้รับผ่านตัวหุ่นยนต์ที่ทำงานร่วมกัน
2.ถุงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในการป้องกันเชื้อโรคและสารเคมี การขนย้ายผู้ป่วยในสถานการณ์อุบัติภัยโรคระบาด สารเคมีหรือสารกัมมันตรังสีนั้นสำคัญยิ่งเนื่องจากอาจส่งผลอันตรายต่อผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความปลอดภัยต่อผู้ที่ช่วยเหลือหากต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อจากจุดอันตรายไปยังที่ที่ปลอดภัย จึงพัฒนาถุงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในการป้องกันเชื้อโรคและสารเคมีซึ่งเป็นถุงสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่มีคุณสมบัติในการป้องกันไม่ให้อากาศด้านในไหลสู่ด้านนอก เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารเคมีหรือสิ่งปนเปื้อนในถุงไปสู่ภายนอกถุง
ถุงมีขนาดมาตรฐาน 60 ซม. x 200 ซม. x 70 ซม. มีที่จับสามารถขนย้ายผู้ป่วยได้สะดวก ปลอดภัยและติดตั้งระบบกรองและถ่ายเทอากาศ รวมถึงปรับความดัน นอกจากนี้ ยังมีช่องทางที่เจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงผู้ป่วยที่อยู่ด้านในได้ ส่วนวัสดุห่อหุ้มโครงสร้างถุง เป็นวัสดุพลาสติกทางการแพทย์ ซึ่งทำหน้าที่ในการห่อหุ้มและป้องกันไม่ให้อากาศด้านในไหลออกสู่ด้านนอก โดยวัสดุห่อหุ้มนั้นจะแยกออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนผ้าใบห่อหุ้มด้านล่างและส่วนพลาสติกใสในการห่อหุ้มตัวโครงสร้างด้านบนทั้งหมด
สำหรับถุงเคลื่อนย้ายผู้ป่วย แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 2.1 ถุงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อ หรือ Negative Pressure Bag : NPB (ในรูปถุงสีใส) ป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยเก็บอากาศภายในเพื่อป้องกันอากาศออก ถุง NPB จะปรับความดันอากาศต่ำกว่าภายนอกทำให้อากาศจากภายนอกไหลเข้าสู่ด้านในทำให้เชื้ออยู่ภายในถุงไม่แพร่กระจายออกไปโดยอากาศบริสุทธิ์จะไหลผ่านรูอากาศและถูกดักจับด้วยฟิลเตอร์เพื่อไม่ให้เชื้อโรคผ่านออกไปยังถุงได้
2.2 ถุงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ไม่มีเชื้อ หรือ Positive Pressure Bag : PPB (ในรูปถุงสีเขียว) สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ไม่มีเชื้อในพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยถ่ายเทอากาศออกไปด้านนอก ถุง PPB ใช้ในสถานการณ์ที่สิ่งแวดล้อมรอบด้านเป็นพิษ เราจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยอยู่ในถุงที่ปลอดภัย และปรับความดันภายในถุงให้เป็นบวก ดังนั้นอากาศภายนอกจะไม่สามารถเข้าด้านในได้โดยอากาศภายนอกนั้นจะถูก Feed ให้กับผู้ป่วยในถุงโดยผ่านไส้กรองเพื่อให้อากาศบริสุทธิ์
และ 3.ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)คัดกรองข่าวปลอม (Fake News) ในภาวะโรคแพร่ระบาด หรือวิกฤติฉุกเฉิน ข่าวสารมีบทบาทสำคัญยิ่งในการกู้วิกฤติและทำให้เกิดพลังความร่วมมือร่วมใจของสังคมไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จ ดังตัวอย่างล่าสุด คือ การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019 (COVID-19) บทความและข่าวสารบนสื่อออนไลน์นั้นมีความหลากหลายในเรื่องของเนื้อหา สาระ และความถูกต้องโดยจะมีเนื้อหาทั้งข้อเท็จจริง ความคิดเห็นส่วนตัว และข่าวปลอม
ซึ่งหน่วยงานหลักของรัฐบาลคือ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center Thailand) ต้องใช้เวลาตรวจสอบพอสมควร ทำให้ไม่สามารถยับยั้งข่าวปลอมอีกจำนวนมากที่ถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว นำมาสู่การที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อคัดกรองข่าวปลอม โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 1 เดือนข้างหน้า โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ตรวจจับข่าวปลอม ช่วยลดระยะเวลาการตรวจสอบข่าวสารที่แชร์บนโลกออนไลน์ และเผยแพร่ข่าวสารข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
สำหรับการทำงานของ AI ระบบตรวจจับข่าวปลอม 3.1 ดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น Facebook ทางการของหน่วยงาน โดยจะดึงข้อมูลส่วนเนื้อความ วันที่ เวลา ช่วงระยะเวลา เช้า สาย บ่าย เย็น กลางคืน ซึ่งจะใช้เป็นตัวแบ่งข้อมูล จากนั้นทำการประมวลผลข้อความที่ดึงมาได้ในแต่ละวันเวลา ทำการสกัด Name Entity ออกมา เพื่อหาคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การระบาดของโรค เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนผู้เฝ้าระวัง พื้นที่พบผู้ต้องสงสัย เป็นต้น
3.2 เมื่อมีฐานข้อมูลแล้ว การทดสอบโพสต์ในสื่อออนไลน์ ทำโดยการสกัด Name Entity จากข้อความ และทำการค้นหาโดยใช้คำเหล่านั้นเป็นฐานข้อมูล ในส่วนที่เป็นวันที่วันเดียวกันกับวันที่ของบทความ หากพบข้อความที่มีความหมายสอดคล้องกันในฐานข้อมูลก็แสดงว่าบทความนั้นไม่ใช่ข่าวปลอม เพราะมีเนื้อความที่สอดคล้องกันกับฐานข้อมูล แต่หากไม่พบข้อความที่สอดคล้องกันเลย บทความดังกล่าวจะเป็นข่าวปลอม หากไม่สามารถระบุวันที่ได้ ให้ถือว่าเป็นวันเดียวกันกับที่ทำการตรวจสอบ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี