กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ฤดูฝนอาจมาล่าช้ายาวไปถึงต้นเดือนกรกฎาคม 2563 ทำให้วิกฤติภัยแล้งยาวนานและรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น การวางแผนบริหารจัดการน้ำจึงต้องทำอย่างรอบคอบ และปฏิบัติให้ได้ สถานการณฺ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นปีนี้ ครอบคลุมทุกภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลางภาคใต้ตอนบน โดยเฉพาะภาคอีสาน ซึ่งปีนี้ต้องเผชิญภาวะน้ำท่วมช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา และภัยแล้งขณะนี้
เขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่งมีปริมาณน้ำน้อยมาก โดยเฉพาะเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น อยู่ในขั้นวิกฤติปริมาณน้ำที่ใช้งาน ณ วันที่ 31 มกราคม 2563 ติดลบไป 131 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) หรือ -7.08% ของปริมาณน้ำที่ใช้งานได้ ต้องงดปลูกพืชฤดูแล้งทุกชนิด จัดสรรเพื่ออุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศเท่านั้น เช่นเดียวกับเขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ มีปริมาณน้ำที่ใช้งานได้เหลือเพียง 7 ล้านลบ.ม. หรือ 5.51% เขื่อนลำพระเพลิงจ.นครราชสีมา เหลือปริมาณน้ำที่ใช้งานได้เพียง 17.84 ล้านลบ.ม. หรือ 11.61% เขื่อนลำแซะ จ.นครราชสีมา เหลือปริมาณน้ำที่ใช้งานได้ 62.97 ล้านลบ.ม. หรือ 23.50% และเขื่อนลำนางรอง จ.บุรีรัมย์ เหลือปริมาณน้ำที่ใช้งานได้เพียง 18.56 ล้านลบ.ม. หรือ 10.43%
จะมีเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ และเขื่อนสิริธร จ.อุบลราชธานี เท่านั้นที่ปีนี้ปริมาณน้ำค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเขื่ือนลำปาว กรมชลประทานผันน้ำมาช่วยสนับสนุนการผลิตประปาเมืองมหาสารคาม เพื่อลดปริมาณใช้น้ำจากเขื่อนอุบลรัตน์ที่อยู่ในขั้นวิกฤติ ล่าสุด เขื่อนลำปาวมีปริมาณน้ำเหลืออยู่ 1,143.48 ล้านลบ.ม. หรือร้อยละ 57.75 ของปริมาณการกักเก็บ ส่วนเขื่อนสิริธรมีปริมาณน้ำ 1,520.15 ล้าน ลบ.ม.หรือร้อยละ 77.32 ของปริมาณการกักเก็บ
สำหรับการแก้ปัญหาภัยแล้งยั่งยืนของภาคอีสาน ค่อนข้างยากกว่าภูมิภาคอื่น เนื่องด้วยลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง พื้นที่เหมาะสมสร้างอ่างเก็บน้ำมีน้อย แต่ใช่ว่าการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในภาคอีสานจะไม่สามารถทำได้ ปัจจุบันกรมดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งหลายโครงการ ทั้งในพื้นที่ลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำมูลและลุ่มน้ำโขง ล่าสุดมีการสำรวจพื้นที่ที่พัฒนาโครงการขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นฝาย แก้มลิง ประตูระบายน้ำ กระจายตามลุ่มน้ำต่างๆ ลักษณะคล้ายๆถาดขนมครก อย่างไรก็ตามการพัฒนาโครงการขนาดเล็กจะแก้ปัญหาได้ในพื้นที่แคบๆเท่านั้น ถ้าปีไหนฝนตกน้อย หรือฝนทิ้งช่วงนาน ปริมาณที่กักเก็บไว้จะไม่เพียงพอกับความต้องการ ดังนั้น ยังจำเป็นต้องมีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่มารองรับด้วย
ภัยแล้งปีนี้ มีเสียงจากคนอีสานพูดว่า....ถ้าโครงการโขง-เลย-ชี-มูล เป็นจริง ปัญหาภัยขาดแคลนน้ำในภาคอีสานจะไม่วิกฤติแน่นอน เพราะถ้าจะนำน้ำโขงเข้ามาใช้ประโยชน์จะแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในภาคอีสานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายเฉลิมเกียรติ คงวิชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า การดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล ขณะนี้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) กำลังศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการระยะที่ 1 อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กรมได้ศึกษาความเหมาะสมโครงการระยะที่ 1 เสร็จแล้วเมื่อปี 2560 วัตถุประสงค์เพื่อจัดหาบริหารจัดการน้ำแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ ในพื้นที่การเกษตรของภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยแรงโน้มถ่วง
“กรมชลประทานพร้อมบูรณาการร่วมกับสทนช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการโขง-เลย-ชี-มูลให้เป็นจริง เพื่อแก้ปัญหาน้ำได้ยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันภาคอีสานมีพื้นที่การเกษตร 63.85 ล้านไร่ แต่เป็นพื้นที่ชลประทานเพียง 8.69 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 13.61 ของพื้นที่การเกษตร ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่นอกเขตชลประทานต่ำกว่าผลผลิตของพื้นที่ชลประทานถึง 1 ใน 3 นอกจากนี้ ยังประสบปัญหาดินเค็มถึง 10.48 ล้านไร่อีกด้วย จำเป็นต้องเร่งขยายพื้นที่ชลประทาน เพื่อสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำ ซึ่งหากเพียงพอแล้ว รายได้ของคนอีสานจะเพิ่มขึ้นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแน่นอน” นายเฉลิมเกียรติกล่าว
สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล ที่ จ.เลย เนื่องจากมีค่าลงทุนสูงมาก จึงต้องแบ่งออกเป็น 5 ระยะ โครงการระยะที่ 1 ที่กรมศึกษา มีเป้าหมายส่งน้ำไปยังพื้นที่บางส่วนของโขงอีสานและชี และเติมน้ำลงเขื่อนอุบลรัตน์ เพิ่มพื้นที่ชลประทาน 1.69 ล้านไร่ ครอบคลุม 7 จังหวัด 27 อำเภอ ได้แก่ เลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย ชัยภูมิ และกาฬสินธุ์ มูลค่าลงทุนประมาณ 157,045 ล้านบาท ระยะเตรียมการ3 ปี ก่อสร้าง 6 ปี รวม 9 ปี ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)
เขื่อนอุบลรัตน์ ปีนี้น้ำแห้งขอดมีปริมาณน้ำเหลือเพียงแค่ 450 ล้าน ลบ.ม. เป็นปริมาณน้ำที่ติดก้นอ่างฯเท่านั้น ทั้งที่เขื่อนแห่งนี้จุระดับกักเก็บถึง 2,431 ล้าน ลบ.ม. และมีความจุสูงสุด 4,640 ล้าน ลบ.ม. จึงยังมีพื้นว่างที่จะเติมน้ำได้อีกจำนวนมาก หากนำน้ำจากแม่น้ำโขงช่วงฤดูน้ำหลากมาเติมไว้ ปัญหาขาดแคลนน้ำจะไม่เกิดขึ้น และยังจะมีน้ำไปเติมเต็มให้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กที่รัฐบาลได้เร่งสำรวจเพื่อก่อสร้างอีกด้วย ซึ่งจะสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นที่ได้ตลอดทั้งปีอย่างแน่นอน
โครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล หากจะพัฒนาให้เต็มศักยภาพ ก็จะสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ 17 แถว คลองส่งน้ำ สายหลัก 6 สาย ระยะทางรวม 2,273 กม. สามารถเพิ่มปริมาณน้ำในลุ่มน้ำโดยผันน้ำจากแม่น้ำโขงเข้ามาได้ถึง 29,881 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ทำให้มีพื้นที่รับประโยชน์ครอบคลุมถึง 20 จังหวัด 281 อำเภอ ส่งน้ำให้พื้นที่ชลประทานฤดูฝนได้ 33.57 ล้านไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ส่งน้ำด้วยแรงโน้มถ่วง 21.73 ล้านไร่ และพื้นที่ส่งน้ำด้วยระบบสูบน้ำอีก 11.84 ล้านไร่ ส่วนพื้นที่ชลประทานฤดูแล้งส่งน้ำให้ได้ 11.15 ล้านไร่ มีผู้ได้รับประโยชน์ในภาคการเกษตร 1.44 ล้านครัวเรือน หรือ 5.71 ล้านคน สร้างรายได้ภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 85,672 บาท/ครัวเรือน/ปี ลดความเสี่ยงจากฝนตกล่าช้าและฝนทิ้งช่วง สามารถส่งน้ำให้พื้นที่วิกฤติแห้งแล้งและส่งน้ำยากได้อย่างทั่วถึง
บทเรียนจากภัยแล้งครั้งนี้ น่าจะเป็นอีกแรงที่จะผลักดันโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล ให้เป็นจริง อีสานจะได้เขียวขจี มั่นคง
มั่งคง ยั่งยืนเสียที....
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี