สธ.คุมเข้ม 8 จังหวัดท่องเที่ยว คัดกรองทุกคนที่มีไข้ โต้ต่างชาติสงสัยไทยปิดบังทำตัวเลขติดเชื้อ‘โควิด-19’ต่ำกว่าความจริง ยันมาตรฐานไทยคุ้มเข้มสูงสุดตั้งแต่ 3 ม.ค.
19 กุมภาพันธุ์ 2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันแถลงข่าว
นพ.โสภณ กล่าวว่า สถานการณ์กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั่วโลกใน 27 ประเทศ และ 2 เขตบริหารพิเศษ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 19 กุมภาพันธ์ 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจำนวน 75,138 ราย เสียชีวิต 2,007 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 74,139 ราย เสียชีวิต 2,002 ราย
ส่วนสถานการณ์ประเทศไทยในวันนี้(19 กุมภาพันธ์) ณ เวลา 08.00 น.ยังคงตัวมีผู้ป่วยสะสมคงที่อยู่ที่ 35 ราย แยกเป็นผู้ป่วยติดเชื้อสามารถรักษาหายกลับบ้านแล้ว 17 คน ยังเหลือรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 18 ราย โดย 2 รายที่อาการวิกฤตนั้น วันนี้ไม่มีไข้ แต่แพทย์ยังคงให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ต้องสงสัยสอบสวนโรคทั้งหมด เนื่องจากขณะนี้เราได้มีการขยายการคัดกรองให้มีความกว้างขวาง และตรวจจับได้ไวมากยิ่งขึ้น พบว่ายอดสะสมจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 957 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้ 857 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดตามฤดูกาลยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 100 ราย โดยในจำนวนผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค(PUI) พบว่า มีในส่วนของคนไทยและนักท่องเที่ยวจีนมีสัดส่วนเท่ากันที่ 45 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ถ้าจำแนกตามพื้นที่พบว่ากรุงเทพฯมากสุดประมาณ 300 ราย หรือคิดเป็น 1 ใน 3 นอกนั้นจะกระจายในจังหวัดท่องเที่ยว ขณะที่คนไทยที่สัตหีบกลับบ้านวันนี้ 137 คน ทั้งหมดไม่มีการติดเชื้อตั้งแต่แรก สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ
“ขณะนี้กระทรวงได้ยกระดับการเฝ้าระวังในกลุ่มคนไทย ที่มีการทำงานสัมผัสกับนักท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น โดยยกระดับคัดกรอง 8 จังหวัดท่องเที่ยว และมีรายงานผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา คือ 1. กรุงเทพมหานคร 2.เชียงใหม่ 3.เชียงราย 4.ภูเก็ต 5.กระบี่ 6.สมุทรปราการ 7.ชลบุรี 8.ประจวบคีรีขันธ์ โดยหากพบคนที่มีอาการไข้โรคระบบทางเดินหายใจ แม้จะไม่ได้มีประวัติเดินทางกลับจากต่างประเทศ แต่ถ้าในช่วง 14 วันที่ผ่านมามีการสัมผัสกับนักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะต้องมีการตรวจคัดกรองตามระบบอย่างเข้มข้น” นพ.โสภณ กล่าว
นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า มาตรการดังกล่าวจะทำให้เรามั่นใจ ว่าหากมีการแพร่เชื้อจะสามารถรู้ได้ทันที ส่วนกรณีสัปดาห์ที่แล้วประเทศไทยมีบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อในประเทศมีเพียงรายเดียว เป็นบุคลากรในโรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา แต่เนื่องจากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยไข้เลือดออกขณะที่ผู้ป่วยรายดังกล่าวมี 2 โรค อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่เป็นบุคลากรในโรงพยาบาลอยู่ระหว่างการรับการรักษาและมีอาการดีขึ้นแล้ว
เมื่อถามว่ามีนักวิชาการต่างชาติไม่มั่นใจระบบการควบคุมโรคของประเทศไทยโดยมองว่าประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจีนมากเป็นอันดับหนึ่ง แต่กลับพบจำนวนผู้ป่วยน้อยมากอาจจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงหรืออาจจะมีการบิดเบือนตัวเลขนั้น นพ. รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่มีนโยบายเรื่องการปิดบัง ทุกรายเราทำการค้นหา และค้นหาในวงกว้างด้วย เราเป็นประเทศแรกที่มีการรายงานมีผู้ป่วยนอกประเทศจีน ทำให้ทั่วโลกตื่นตัวด้วย ดังนั้น ขอให้มั่นใจว่าเราค้นหากลุ่มเสี่ยงอย่างกว้างขวาง
ด้าน นพ.โสภณ กล่าวเพิ่มเติมว่า เวลาที่เราเห็นประเทศอื่นดีกว่าเรา เราจะมีคำถาม 2 แบบ คือแบบที่ 1 เขาทำดีได้อย่างไร จึงทำให้เกิดผลงานที่ดี กับอีกแบบคือสงสัยว่าดีจริงหรือไม่ ซึ่งถ้ามุมของประเทศไทยเราต้องมั่นใจก่อนว่าเราเป็นประเทศแรกที่มีมาตรการอย่างเข้มข้นที่สนามบิน ที่สถานพยาบาลตั้งแต่วันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา โดยยกระดับเข้มข้นบนพื้นฐานว่าอาจจะมีการแพร่จากคนสู่คน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังไม่มีการประกาศว่ามีการติดต่อจากคนสู่คนด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่าเราเป็นประเทศแรกให้ความสำคัญกว่าหลายประเทศ และเป็นประเทศแรกที่ตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อรายแรกนอกประเทศจีนคือเป็นนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาแล้วมีไข้ที่สนามบินแล้วถูกแยกตัวออกมาทันที และแถลงยืนยันว่าเป็นผู้ป่วยรายแรกเมื่อวันที่ 8 มกราคม หลังจากนั้นก็มีผู้ป่วยเยอะมาต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่เดินทางมาจากนอกประเทศ
“จะเห็นว่ามาตรการเราเข้มมาตลอด การที่เราทำเร็วประชาชนก็ตระหนักถึงความสำคัญ พูดง่ายๆ คือตื่นก่อนต้องทำได้มากกว่าคนที่ตื่นทีหลัง ทำให้ระบบของเราค่อนข้างเข้มที่ด่านเข้าเมืองทุกแห่ง สถานพยาบาล ชุมชน บริษัทนำเที่ยว และทุกภาคส่วนลุกขึ้นมาร่วมกัน ต้องถามกลับไปยังประเทศเหล่านั้นว่าทำอะไรในเชิงป้องกันที่สะท้อนว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการแพร่ระบาดหรือไม่ ความหนักใจของผมตอนนี้คือประเทศไทยไม่มีผู้ป่วยอยู่ในมือให้แถลง เพราะตรวจคัดกรองมากขึ้น” นพ.โสภณ กล่าว
นพ.โสภณ ระบุว่า เมื่อวานนี้(18 กุมภาพันธ์ 2563) พบแท่งการคัดกรองเพิ่มขึ้น 2 เท่า เพราะขยายฐานการคัดกรอง แต่เราตรวจไม่เจอ ตอนนี้นักท่องเที่ยวจีนลดลงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ก็ตรงไปตรงมา เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวจากพื้นที่ระบาดเข้ามา ก็ไม่มีผู้ป่วยกลุ่มนี้ ตรงนี้คนที่ถามเขารู้หรือไม่ แม้ว่าประเทศไทยจะมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ แต่สำหรับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนานั้น ประเทศไทยให้ความสำคัญและทุ่มทั้งงบประมาณและสรรพกำลังลงไปอย่างเต็มที่ เพราะเรารู้ดีว่าประเทศไทยเน้นเรื่องการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ ซึ่งเรื่องความเชื่อมั่นเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างตอนนี้บุคลากรสาธารณสุขกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ก็มาทำเรื่องไวรัสโคโรนาหมุนเวียนกันไป ตั้งแต่แรกๆเลย และต้องบอกว่าการรับมือกับโรคครั้งนี้คนไทยตื่นตัวและให้ความร่วมมือดีมากจนเราเองก็สบายใจได้ระดับหนึ่ง
ต่อข้อถามกรณีที่ประเทศกัมพูชามีการอนุญาตให้ผู้โดยสารมากับเรือเวสเตอร์ดัม เดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆของประเทศกัมพูชา ทำให้ไทยต้องยกระดับการเฝ้าระวังคนที่เดินทางมาจากกัมพูชาหรือจะเฝ้าระวังอย่างไรหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องติดตามสถานการณ์ เพราะคนที่ลงจากเรือเป็นคนที่ปกติดีส่วนใหญ่ แต่มีส่วนน้อยที่ไม่สบายและเพื่อนบ้านก็มีศักยภาพในการตรวจหากติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เดินทางไปถึงมาเลเซียไม่มีอาการป่วยแต่มีไข้และเมื่อตรวจพบติดเชื้อไวรัสโคโรนา
ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ติดกันนั้นเราจะประเมินตามสถานการณ์ต่อไป เช่น หากมีความไม่มั่นใจก็จะยกระดับการคัดกรองเข้มข้นขึ้นเช่นกัน ซึ่งตอนนี้ผู้บริหารกระทรวงก็มีนโยบายในการตรวจวัดไข้คนที่เข้ามาตามด่านพรมแดนทุกแห่งอยู่แล้ว ดูอาการทางเดินหายใจร่วมด้วย หากมาจากเรือหรือพื้นที่ระบาด 14 วันต้องตรวจเข้ม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี