กรมชลประทานเร่งขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์ มุ่งเน้นจัดหาแหล่งเก็บกักน้ำทุกรูปแบบ ทั้งโครงการขนาดใหญ่ กลาง และขนาดเล็กมั่นใจอีก 20 ปี ประเทศไทยจะมีพื้นที่ชลประทาน 50.24 ล้านไร่ และมีปริมาณน้ำต้นทุนในระบบรวมกว่า 95,000 ล้านลบ.ม.
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานได้ขับเคลื่อนภารกิจเร่งรัดพัฒนาแหล่งน้ำตามยุทธศาสตร์กรมชลประทาน 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ด้วยมุ่งหาแหล่งเก็บกักน้ำในทุกรูปแบบให้ได้มากที่สุดและยังคงทรงประสิทธิภาพ ทั้งที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ขนาดกลาง และขนาดเล็ก โดยได้นำเทคโนโลยีวิศวกรรมชลประทานมาใช้เพื่อมาลดขั้นตอนการทำงานตลอดจนลดระยะเวลาดำเนินการให้เกิดผลกระทบและเกิดการสูญเสียน้ำน้อยที่สุด ในขณะที่ผลประโยชน์ยังคงได้รับเช่นเดิมหรือมากกว่าเดิม
นอกจากนี้ยังได้เร่งรัดการพัฒนาโครงการขนาดเล็ก เพราะเป็นโครงการที่สามารถดำเนินการได้ทันที และสามารถแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแก้มลิง ฝาย และประตูระบายน้ำต่างๆ ซึ่งล่าสุดกรมชลประทานได้ดำเนินโครงการขุดลอกแก้มลิงบึงละหานนาตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในพื้นที่ลุ่มน้ำชี สามารถเก็กกักน้ำได้ 16.8 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ทำให้ราษฎรในพื้นที่มีแหล่งน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค การเกษตร และเลี้ยงสัตว์ สามารถเพิ่มพื้นทีชลประทานได้ 7,120 ไร่
อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวต่อว่า กรมชลประทานยังให้ความสำคัญในการพัฒนาคันคูน้ำ จัดรูปที่ดินเพื่อกระจายน้ำลงสู่แปลงนาให้ได้ทั่วถึงมากที่สุด ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมากกว่าในอดีตที่ปล่อยน้ำไหลลงแปลงตามแรงโน้มถ่วง พร้อมพัฒนาโปรแกรมเพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลการใช้น้ำ ข้อมูลเพาะปลูก ระยะเวลา เพื่อการใช้น้ำอย่างประหยัด โดยที่ผ่านมากรมชลประทานได้พัฒนาคันคูน้ำเพื่อกระจายน้ำเข้าถึงพื้นที่แปลงนามาแล้วมากกว่า 10 ล้านไร่ และยังคงดำเนินการต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในปี 2563 กรมชลประทานมีเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณการกักเก็บน้ำในโครงการชลประทานต่างๆให้ได้อีก 199.54 ล้านลบ.ม. เพิ่มพื้นที่ชลประทานอีก 180,000 ล้านไร่ และภายในปี 2579 ตั้งเป้าที่จะเพิ่มปริมาณเก็บกักน้ำในประเทศอีก 13,243 ล้านลบ.ม.ขยายพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้น17.95 ล้านไร่ รวมใน 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีพื้นที่ชลประทานรวมทั้งหมด 50.24 ล้านไร่ และมีน้ำในระบบชลประทานความจุรวม 95,007 ล้านลบ.ม.
“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกในปัจจุบัน ทำให้ปริมาณฝนตกที่ไม่สม่ำเสมอทั่วทั้งประเทศ ดังนั้นเกษตรกรจะต้องมีการปรับตัวในการทำการเกษตรด้วยเพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้วิกฤติด้านน้ำ เช่น การมีแหล่งน้ำเป็นของตัวเองไว้ใช้ในครัวเรือน ใช้น้ำอย่างประหยัดและรู้คุณค่า การปรับวิธีการใช้น้ำ ใช้แผนที่เกษตร (Agri Map) ในการเพาะปลูก การเลื่อนการเพาะปลูก การพัฒนาพันธุ์พืช เป็นต้น ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า ภาคเกษตร เป็นภาคที่ใช้น้ำในปริมาณมาก หากประหยัดน้ำได้ร้อยละ 5-10ก็จะเป็นการประหยัดการใช้น้ำได้จำนวนมหาศาลและยังช่วยลดความเสี่ยงผลผลิตเสียหายได้อีกด้วย” อธิบดีกรมชลประทานกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี