ศอ.บต. ต้องใช้วิกฤติเป็นโอกาส ในการสร้างความเข้าใจกับสังคม “มาลายู” เพราะหยุดการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนที่ ตัวเลขผู้ติดเชื้อ จะเป็นที่ 1 ของประเทศ
หยุดพักเรื่องของ การก่อการร้าย ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไว้ก่อน แม้ว่าสถานการณ์ของการก่อการร้าย จะยัง “คุกรุ่น” ข่าวจากวงในที่ว่า “คาร์บอมบ์” ยังรอที่จะ “กัมปนาท” อยู่อีก 4-5 ลูก โดยมีเป้าหมายที่สถานที่ราชการ รวมทั้ง “คาร์บอมบ์” ที่ ศอ.บต. ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ยังจับคนร้ายไม่ได้แม้แต่คนเดียว ทั้งที่ผ่านมาแล้วเกือบ 1 สัปดาห์
แต่...เรื่องของ “มัจจุราช” เชื้อไข้หวัด “โควิด-19” เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า เพราะกลายเป็น “มัจจุราชเงียบ” ที่คร่าชีวิตคนทั้งโลกไปแล้วนับหมื่นคน และที่ได้รับเชื้อชีวิตอยู่ระหว่างโลกมนุษย์ กับ ยมโลก อีกนับแสนคน ซึ่งกลายเป็นมหันตภัยที่เลวร้ายที่สุด เท่าที่เคยพานพบกันมา
สำหรับประเทศไทยเรานั้น อาจเพราะผู้นำประเทศมัวแต่ท่องคำว่า “ไม่เป็นไร” และอาจจะเป็นเพราะ “การเมือง” ที่ “แย่งซีน” ความได้เปรียบเสียเปรียบรวมทั้งในแต่ละพรรคมี “อีแอบ” และ “ไอ้แอบ” ในการหาผลประโยชน์จาก “หน้ากาก” ป้องกันโรค และผลประโยชน์อื่นๆ ที่ติดปลายนวม จึงทำให้การกำหนดนโยบายจากรัฐบาล อยู่ในอาการ “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” จนสุดท้ายมีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ราย แต่รัฐบาลก็ยังไม่ตัดสินใจว่าจะประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉุกเฉิน เพื่อการควบคุมสถานการณ์หรือไม่
สถานการณ์โดยทั่วไปของประเทศไทย ขณะนี้ ถ้า “เอกซเรย์” โดยละเอียด จะพบว่า 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่ “สีแดง” หรือเป็น “จุดเสี่ยง” ที่สุดของประเทศไทย เพราะผ่านไปไม่กี่วัน จำนวนผู้ “ติดเชื้อ” เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจังหวัดยะลา ที่มีผู้ติดเชื้อแล้ว 19 ราย โดยมีจังหวัดปัตตานีไล่ตามมาติดๆ และมีจังหวัดสงขลา ตามมาห่างๆ
สาเหตุที่ทำให้พื้นที่ 5 จังหวัดกลายเป็นพื้นที่ “เสี่ยง” ของการ แพร่ระบาดของ “โควิด-19” เป็นเพราะ 1.พื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ติดกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งประกาศปิดประเทศไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยสาเหตุการติดเชื้อของคนในประเทศเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
และสาเหตุของการติดเชื้อ “โควิด-19” มาจากการจัดกิจกรรมทางศาสนา หรือ “ดาวะห์” ในมัสยิด กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมีผู้นำศาสนาจากหลายประเทศไปรวมกิจกรรมกว่า 10,000 คน และใน 10,000 กว่าคนนั้น มีผู้นำศาสนา จาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปร่วมด้วย 132 คน
ที่สำคัญหลังการปิดประเทศของมาเลเซีย และตามมาด้วยการ “เคอร์ฟิว” ห้ามผู้คนออกจากเคหสถานในยามค่ำคืน มีการสั่งให้คน “มาลายู” ที่ไปทำมาหากินในประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะในร้านอาหาร “ต้มยำกุ้ง” กว่า 200,000 คน ถูกผลักดันให้เดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งจนถึงวันที่ 24 แล้ว ยังมีคน “มาลายู” ใน 3 จังหวัดภาคใต้ตกค้างอยู่อีกไม่น้อย ที่ยัง “ตกค้าง” รวมทั้ง แรงงานเถื่อน ที่รอลักลอบเดินทางกลับ ตามช่องทางธรรมชาติ ในแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย
คนที่ถูกผลักดันให้กับจากมาเลเซียคือ “กลุ่มเสี่ยง” ที่ต้องตรวจสอบต้องติดตาม ต้องกักตัวคนละ 14 วัน เมื่อรวมกับคนจำนวน 132 คน ที่เข้าร่วมกิจกรรม “ดาวะห์” และกลับเข้าประเทศมาก่อนหน้านี้ ซึ่งผู้ที่พบตัวแล้วส่วนใหญ่ ติดเชื้อเกือบทั้งสิ้น ที่น่ากลัวคือ คนจำนวน 132 คนเดินทางกลับมา ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ โดยไม่มีการตรวจหาเชื้อ และกว่าจะถึงวันที่ เจ้าหน้าที่ตามตัวพบ และนำเข้ามาตรวจหาเชื้อและการรักษาพยาบาล คนเหล่านี้ได้แพร่เชื้อไปแล้วจำนวนเท่าไหร่
ประเด็นต่อมา ที่เป็นปัญหาใหญ่สุดในการ ควบคุมโรคคือ สังคมของคนใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่คนส่วนใหญ่ร้อยละ 90 เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม ที่ให้ความสำคัญในการปฏิบัติศาสนากิจเป็นสิ่งสูงสุด โดยที่ “ละเลย” ต่อการทำความเข้าใจในเรื่องของการ ป้องกัน การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น และมีจำนวนมาก ที่เชื่อว่าชีวิตถูกลิขิตมาแล้ว เป็น-ตาย เป็นเรื่องธรรมดา จึงไม่ยอมที่จะป้องกันตนเอง ตามคำขอร้อง และคำแนะนำจากหน่วยงาน ที่มีหน้าที่ในการ ป้องกันชีวิตให้รอดพ้นจาก “มัจจุราชเงียบ” โควิด-19
จะเห็นว่า คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือในหมู่ของคน “มุสลิม” ยังละเลยต่อวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อในเบื้องต้นคือการ สวมหน้ากากอนามัย ยังมีการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ที่ไม่ได้สนใจต่อ เรื่องการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ผิดกับในสังคมเมือง ที่ทุกคน ตื่นตัว “ตระหนัก” ต่อ พิษภัยของ “โควิด-19” จนคนจำนวนมาก ถึงกับอยู่ในอาการ “ตระหนก” กักตัวอยู่ในบ้าน จนทำให้เมืองบางเมือง เช่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว
การแก้ปัญหาของการระบาดของ “โควิด-19” ต้องทำทั้งการรักษาพยาบาลในกรณีผู้ป่วย การป้องกันการแพร่ระบาดจากผู้ป่วยไปยังบุคคลอื่นๆ และที่สำคัญคือ การป้องกันด้วยการให้ความรู้ การขอร้อง ขอความร่วมมือ จากทุกคนในทุกพื้นที่ ให้ป้องกันตนเอง ให้พ้นจากการรับเชื้อ หรือ ติดเชื้อจากผู้อื่น เพื่อที่จะควบคุมมิให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มจำนวน ซึ่งจะง่ายต่อการรักษาพยาบาล ในท่ามกลางความ ขาดแคลน บุคลากร ทางการแพทย์ ตลอดจน เครื่องมือ เครื่องใช้ ที่ขณะนี้ขาดทั้งหน้ากากป้องกันโรค ขาดทั้งเจล ขาดทั้งแอลกอฮอล์ แถมยังปล่อยให้มีพ่อค้านำมาขายในราคาแพง เป็นการซ้ำเติม ผู้คนที่ทุกข์ร้อนอยู่แล้ว ให้ทุกข์ทวี ยิ่งขึ้น
แต่...ท่ามกลางวิกฤติของ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้จากการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ก็ยังมีโชคดีอยู่บ้างที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ต่างจากภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทย ที่มีหน่วยงานทั้งฝ่ายความมั่นคง คือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และมีศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ซึ่งสามารถทำหน้าที่ในการ “บูรณาการ” ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง เช่น กรมควบคุมโรคติดต่อ, สาธารณสุขจังหวัด, ผู้ว่าราชการจังหวัด ให้สามารถขับเคลื่อน อย่างมีระบบเหมือนกับมี ผู้ช่วยเหลือ ในการสู้รบกับกองทัพ “มัจจุราช” เงียบ อย่าง“โควิด-19”
หน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งมีกำลังพลพร้อม ต้องรับผิดชอบกับผู้ลักลอบเดินทางเข้าเมือง ซึ่งยังมีผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองด้านชายแดนในหลายพื้นที่โดยเฉพาะ จังหวัดนราธิวาส เพื่อป้องกันมิให้คนเหล่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นผู้ป่วยทำการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น รวมทั้งต้องช่วยเหลือ ฝ่ายปกครองในจุดคัดกรองต่างๆ ในหมู่บ้าน ตำบล ที่ผู้ป่วยมีภูมิลำเนาอยู่ซึ่งกลายเป็น “จุดเสี่ยง” ในขณะนี้ คือ หมู่บ้านจำนวนมาก ใน จ.ปัตตานี, ยะลา และ นราธิวาส ซึ่งลำพังผู้นำท้องที่ อสม. ฝ่ายปกครอง ย่อมไม่เพียงพอ
สำหรับ ศอ.บต. นั้น ต้องชื่นชม พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูรเลขาธิการ ศอ.บต. ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการแพร่ระบาดของ“โควิด-19” สูงสุด นอกจากการมีการประชุมเพื่อวางมาตรการในการ “บูรณาการ” ร่วมกับ “ฝ่ายปกครอง, สาธารณสุข” และ อื่นๆ แล้ว ยังดำเนินการในด้านการ “สื่อสารกับสังคม” ในเชิงรุกทุกด้าน ทั้งการประชุม ผู้นำศาสนา ผู้นำสถาบันปอเนาะ โรงเรียนสอนศาสนาและอื่นๆ มีการตั้งศูนย์ประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ เพื่อให้ “สื่อ” ได้ใช้ในการสื่อสารกับสังคม
ซึ่งจุดอ่อนที่สุดในจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ที่เรื่องของ “ศาสนา” การแก้ปัญหาคือต้องให้ ผู้นำศาสนา เป็นผู้มีหน้าที่โดยตรงในการสร้างความเข้าใจกับประชาชนแทนเจ้าหน้าที่รัฐ เช่นการละเว้นการประกอบพิธีทางศาสนา การป้องกันด้วยการทำความสะอาด ศาสนสถาน การทำความเข้าใจกับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามถึง อันตรายของ “โควิด- 19” เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและป้องกันตนเอง อย่าให้กลายเป็นเหยื่อ “มัจจุราชเงียบ” อย่าง “โควิด-19” ล้วนแต่ต้องพึ่งพา ผู้นำศาสนา ซึ่งแน่นอนเป็น งานยาก และงานหนัก ของ ศอ.บต. แต่ก็ต้องดำเนินการให้ได้
ยังโชคดีที่ ศอ.บต. มี “บัณฑิตอาสา” ซึ่งเป็น ผลผลิตของ ศอ.บต. อยู่ทุกหมู่บ้านใน 5 จังหวัด และยังโชคดีที่ในหน่วยงานของ “สาธารณสุข” มี อสม. อยู่ทุกหมู่บ้าน ซึ่งการทำความเข้าใจกับประชาชนที่ได้ผลที่สุด ในวันนี้คือ การใช้ บัณฑิตอาสา และ อสม. เป็น “หัวหอก” แบบทำความเข้าใจทุกครัวเรือน ถ้า ศอ.บต. ทำได้เชื่อว่าการ “สื่อสารกับสังคม” จะได้ผล และเป็นหนทางในการควบคุม การแพร่ระบาด ในหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอรอบนอกได้ และข้อสำคัญ อย่าให้แต่ “หน้าที่” แต่จะต้องมี “ค่าตอบแทน” สำหรับผู้ที่ต้อง เสียสละเพื่อการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
อย่าลืมว่า พ.ร.บ.ฉุกเฉิน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเตรียมประกาศใช้ ไม่ใช่ “ยาวิเศษ” และ “โควิด-19” ไม่ใช่การก่อการร้าย ที่จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อ “เอาอยู่” เพราะ “โควิด-19” เป็นโรคระบาด หรือในอดีตคือ “โรคห่า” ที่การหยุดยั้งการระบาดที่ได้ผล คือ ประชาชนทุกคนต้องเข้าใจ สถานการณ์ ต้องรู้จักการป้องกันตัว และที่สำคัญต้องปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำขอร้องของ แพทย์ ของผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข หากการทำความเข้าใจกับประชาชน “ล้มเหลว” หรือ ทำได้ไม่ดีพอ เชื่อเถอะ พ.ร.บ.ฉุกเฉิน ก็เป็นได้ แค่ “ไม้ตีพริก” เท่านั้น
ดังนั้น 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะหยุดตัวเลขการระบาดได้หรือไม่ อยู่ที่การทำความเข้าใจกับผู้นำศาสนา การทำความเข้าใจกับประชาชนใน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เพื่อให้“ตระหนก” และ “ตระหนัก” รวมกัน ข้อสำคัญชีวิตของเขาจะอยู่หรือไป อยู่ที่เขาต้องลิขิตเองและนี่คืองานที่ท้าทายของ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องใช้ “ต้นทุน” เดิม ที่มีอยู่แล้ว ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี