ทนายอนันต์ชัย ยื่นขอประกันตัว 2 เมียนมาขนเงินสด 16.5 ล้านเข้าไทย ระบุลูกความตนเป็นนักธุรกิจค้าน้ำมัน ส่วนเงิน 16.5 ล้านบาท เป็นค่าสินค้าที่ต้องสั่งจ่ายบริษัท ปตท.ประเทศไทย
จากกรณีตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจทางหลวง จับกุม ชาย อายุ 29 ปี และ หญิง อายุ 24 ปี ทั้งสองเป็นชาวเมียนมา พร้อมของกลางเงินสด(ธนบัตรไทย) ฉบับละ1,000 บาท จำนวน 16,500 ฉบับ รวม 16.5 ล้านบาท โดยจับกุมตัวได้ที่บริเวณถนนในหมู่บ้านวังตะเคียน หมู่ที่ 7 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ดำเนินคดีตาม พรบ.ฟอกเงิน เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 ต่อมา ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช พร้อมด้วย นายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา (TMBC) ได้พา นาย จ่อเฮง นักธุรกิจชาวเมียนมาร์ เดินไปที่ สภ.แม่สอด เพื่อแจ้งความตามหา นายเดด ไป่ อู อายุ 29 ปี และ น.ส.นา มิ ทู อายุ 24 ปี ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัท นายจ่อเฮง ที่รับหน้าที่นำเงินเดินทางมาฝากเข้าธนาคารกสิกรไทย สาขาแม่สอด ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (7 เม.ย.) แล้วยังไม่สามารถติดต่อได้
ความคืบหน้าล่าสุด ที่ ศาลอาญารัชดา ถนนรัชดาภิเษก ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ซึ่งได้รับมอบอำนาจ จากนายจ่อเฮง นักธุรกิจน้ำมัน ชาวเมียนมาร์ พร้อมด้วย นายกริช อึ้งวิฑูรย์สถิตย์ ประธานสภาธุรกิจ ไทย-เมียนมา (TMBC) และผู้ก่อตั้งสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมเมียนมา-ไทย (MTCC) ได้เข้าขอยื่นอประกันตัว นายเดดไป่อู อายุ 29 ปี และนางสาวนามิทู อายุ 24 ปี ชาวเมียนมา ที่ถูกตำรวจทางหลวงแม่สอด จังหวัดตาก จับกุมพร้อมของกลาง เงินสดเป็นธนบัตรไทย ฉบับละ 1,000 บาท รวม 16,500,000 บาท บนถนนในหมู่บ้านวังตะเคียน หมู่ 7 ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งผู้ต้องหาไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินดังกล่าวได้
โดย นายอนันต์ไชย ระบุว่า ยอมรับว่าทำผิดที่ขนเงินข้ามประเทศแล้วไม่สำแดง ซึ่งตำรวจจะดำเนินคดีก็ดำเนินคดีไป แต่ติดใจถึงการปฎิบัติหน้าที่ของตำรวจทางหลวงชุดที่จับกุม ว่าไม่ใช่หน้าที่ ซึ่งหลังจากจับกุมต้องส่งตำรวจท้องที่คือ สภ.แม่สอด ทันที ไม่ใช่เอาตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนเอง อีกทั้งยังมีการเปิดเผยภาพขณะจับกุม และแถลงข่าวอย่างเปิดเผย ทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ผู้ต้องหา ซึ่งได้โทรศัพท์ไปแจ้งว่าไม่ให้แถลงข่าวแล้ว แต่ก็ไม่ปฎิบัติตาม
อย่างไรก็ตาม ในวันเกิดเหตุยืนยันว่า มีหลักฐานการซื้อขายกับ ปตท. ให้ตำรวจชุดจับกุม แต่กลับไม่ตรวจสอบ ซึ่งจากนี้จะไปแจ้งความดำเนินคดีตำรวจชุดจับกุทฝมที่ สภ.แม่สอด และจะร้อง ปปช.ในฐานความผิด เป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และหน่วงเหนี่ยวกักขัง ต่อไป
ด้านนายกริช เปิดเผยว่า เนื่องจากขณะนี้ ธนาคารในประเทศเมียนมาไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ เพราะปิดในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงต้องใช้วิธีขนเงินสดข้ามประเทศมาชำระหนี้แทน โดยไม่ทราบว่าจะต้องสำแดงกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรก่อน จึงขทเรียนให้รู้ว่าครั้งต่อไปการขอเงินข้ามประเทศจะต้องสำแดงให้เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรก่อน ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยทำ จึงไม่ทราบ
อย่างไรก็ตาม เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทยดำเนินการตามกฏหมาย ที่สำคัญคือต้องระวังไม่ให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ
ด้านพลตำรวจโทสุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า หลังจับกุม ตำรวจชุดจับกุมได้รายงานให้ตนได้ทราบ จึงสั่งการให้ถ่ายภาพหมายเลขธนบัตรทุกใบไว้เป็นหลักฐาน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าของกลางจะไม่เล็ดลอดหลุดหายไปได้ ซึ่งตนเองเป็นผู้สั่งการให้นำ ตัวผู้ต้องหาและของกลางไปสอบสวนขยายผลต่อที่กองบังคับการปราบปราม เนื่องจากจำนวนเงินที่มาก แต่ไม่สามารถชี้แจงที่มาที่ไปได้ จึงสั่งการให้กองบังคับการปราบปรามดำเนินการสอบสวนขยายผลต่อ เพราะมีพฤติการณ์น่าสงสัย โดยทำตามจั้นตอนของกฎหมาย
สำหรับที่มาที่ไปของคดีนี้ มาจากตำรวจทางหลวง แม่สอด ได้รับแจ้งว่า จะมีชาวเมียนมาลักลอบนำเงินสดจากประเทศเมียนมา เข้ามาในประเทศไทย จึงนำกำลังไปตรวจสอบ พบรถบรรทุก สีขาว ทะเบียน BGO IQ-5686 ขับจากฝั่งประเทศเมียนมาทางสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 เข้ามาในประเทศไทย เมื่อมาถึงบริเวณถนนในหมู่บ้านวังตะเคียน ห่างจากด่านศุลการกร 200 เมตร จึงได้เรียกให้หยุดรถ จึงขอตรวจสอบ พบผู้ต้องหาทั้ง 2 คน มีหนังสือเดินทางถูกต้อง จากนั้นได้ตรวจค้นภายในรถพบถุงพลาสติกสีแดง ห่อหุ้มด้วยถุงดำ บรรจุธนบัตรของกลางดังกล่าว จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
จากการสอบสวนผู้ต้องหา อ้างว่าจะนำเงินสดทั้งหมดไปฝากธนาคารกสิกรไทย สาขาแม่สอด แต่ไม่สามารถนำเอกสารหรือหลักฐานมายืนยัน แสดงให้ตำรวจทราบได้ว่า จะนำเงินไปฝากธนาคารฯ เบื้องต้นได้ถูกจึงแจ้งข้อหาร่วมกันนำเข้าเงินตราสกุลไทยเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี