ศบค.ปลื้มไม่มีคนตาย 14 วัน 29 จังหวัดไม่มีผู้ป่วยเพิ่ม 4 คนสัตหีบเป็นไข้รักษาตัวต่อ เผยสถิติป่วยและเสียชีวิตเพียง 1.7 % ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ขณะที่กลุ่มอายุ 50-59 ปี ดับสูงที่สุด ส่วนโรคประจำตัวอันดับ 1 คือโรคเบาหวาน
เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย มีผู้ป่วยรายใหม่ 33 ราย หายป่วยแล้ว 1,787 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,733 ราย ผู้ป่วยรักษาอยู่ 899 ราย และเสียชีวิตวันนี้ 0 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 47 ราย โดยกลุ่มอายุที่พบสูงสุด 20-29 ปี และช่วงอายุ 30-39 ปี ซึ่ง 2 ช่วงอายุสลับกันขึ้น ขอให้คนในครอบครัวช่วยกันดูแลคนกลุ่มนี้ให้ดี เพราะเป็นกลุ่มที่ติดเชื้อสูงสุด และเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิต
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สถานการณ์ภาพรวมยังพบว่ากรุงเทพฯ และนนทบุรี ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เพราะสถาบันบำราศนราดูรอยู่ใน จ.นนทบุรี ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อโควิดในจังหวัดมีตัวเลขสูงขึ้น จะว่าเขาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องไม่ว่ากัน เพราะตัวเลขดังกล่าวเป็นสถิติที่เอาไว้สอนใจ เตือนใจว่า เราจะหาทางแก้ไขอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ในส่วน 29 จังหวัดไม่พบผู้ป่วยเพิ่มใน 14 วันที่ผ่านมา คือ ระยอง และตาก เมื่อวิเคราะห์อัตราการเสียชีวิตของประเทศไทยจำนวน 47 รายตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.-17 เม.ย. ว่าอัตราการป่วยและเสียชีวิตอยู่ที่ 1.7% ถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่นๆ แสดงถึงศักยภาพทางการแพทย์สาธารณสุขของเรา ทั้งนี้ กลุ่มอายุที่เสียชีวิตมากที่สุด คือ อายุ 50-59 ปี จำนวน 14 รายจากผู้ป่วย 367 รายนับเป็น 29.8 % ถือว่าหนักที่สุด ขณะที่โรคประจำตัวที่พบร่วมในผู้เสียชีวิตนั้น อันดับ 1 คือโรคเบาหวาน รองลงมา โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจ ซึ่งคนที่ไม่มีโรคประจำตัวก็เสียชีวิตได้ จึงประมาทไม่ได้ จะบอกว่าแข็งแรงดีก็เสียชีวิตได้ แม้จะอายุน้อย
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า ในส่วนสถานการณ์ต่างประเทศ ขณะนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อ 2,250,751 ราย เสียชีวิต 154,261 ราย โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งอยู่ๆมีผู้ติดเชื้อเพิ่มภายในวันเดียว 1,290 ราย ทั้งที่ประเทศเขากำลังจะเปิดเมือง จึงเป็นเรื่องเตือนใจถึงมาตรการของเราที่จะออกต้องดูสถานการณ์โลก เรื่องนี้ต้องวิเคราะห์ดูสถานการณ์ข่าวสารกันต่อไป อัตราการเสียชีวิตเป็นตัววัดการป้องกันโรคและรักษา เรื่องการเสียชีวิตก็เป็นเรื่องใหญ่ของทุกประเทศในโลกนี้
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า สำหรับสถิติการรณรงค์ในช่วง 7 วันอันตรายช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งปีนี้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้ยอดบาดเจ็บทางถนนลดลง โดยปีใน 63 ผู้บาดเจ็บอยู่ที่ 9,764 ราย ลดลงจากปี 61 ที่มี 28,993 ราย และปี 62 ที่มี 30,212 ราย ลดลง 67.68 % ส่วนสถิติผู้เสียชีวิตทางถนน ปี 63 อยู่ที่ 150 ราย ลดลงจากปี 61 ที่มีจำนวน 487 ราย และปี 62 ที่มีจำนวน 517 ราย ถือว่าลดลงถึง 71% ซึ่งหลายคนบอกว่าอยากให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทุกปี แต่คนก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น
ส่วนผลการปฏิบัติงานของฝ่ายมั่นคงช่วงเคอร์ฟิวคืนวันที่ 17 เม.ย.ต่อเนื่องเช้าวันที่ 18 เม.ย. ออกนอกเคหสถาน 691 ราย ลดลงจากเมื่อวาน 129 ราย ชุมนุมมั่วสุม เสี่ยงต่อการติดเชื้อ 113 ราย เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 4 ราย ซึ่งสาเหตุของการมั่วสุ่มยังคงเป็นการดื่มสุรา เล่นพนัน และยาเสพติด โดยจังหวัดที่มีผู้ฝ่าฝืนมากที่สุด 10 อันดับแรกอันดับ 1 คือ นนทบุรี กรุงเทพฯ ปทุมธานี สมุทรปราการ สงขลา สมุทรสาคร ภูเก็ต กระบี่ พระนครศรีอยุธยา และลพบุรี ส่วน 10 จังหวัดที่ไม่มีผู้กระทำผิด คือ ยโสธร หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี แม่ฮ่องสอน อ่างทอง ฉะเชิงเทรา ตราด สุโขทัย และสมุทรสงคราม
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า วันเดียวกันนี้จะมีนักเรียนทุนเอเอฟเอส 2 เที่ยวบินเดินทางกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่มแรกจำนวน 162 คน ลงที่สนามบินอู่ตะเภา เมื่อเวลา 11.15 น. และช่วงเวลา 21.45 น.ซึ่งเป็นเที่ยวสุดท้าย อีกจำนวน 132 คนลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยในการประชุมของ ศบค.วงเล็กในวันเดียวกันนี้ อยากฝากประชาชนที่อยู่รอบๆ สถานที่กักตัวคนไทยกลับจากจากต่างประเทศไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมีการประกอบการทำงานจากหลายภาคส่วน ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ ทหาร และสาธารณสุข และสถานที่ใช้กักตัวมีการประเมินมีระบบดูแลให้ถูกต้องตามสุขลักษณะ และตามกระบวนการทุกอย่าง
"มั่นใจได้ว่าสถานที่กักตัวทุกแห่งถูกประทับตราว่ามีคุณภาพเพียงพอ ท่านที่อาศัยอยู่รอบๆไม่ต้องกังวลว่าผู้ป่วยเมื่อไอ หรือจามอากาศที่อยู่แถวนั้นจะลอยมาติด ไม่ต้องไปคิดขนาดนั้น เพราะระยะ 2 เมตรละอองฝอยก็ตกลงพื้นแล้ว และคนที่ถูกกักตัวไม่มีสิทธิจะออกมาข้างนอก การเก็บขยะ และอาหารมีการจัดเก็บตามมาตรฐานสาธารณสุข"นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
เมื่อถามว่า จำนวนคนไทยที่ลงทะเบียนขอกลับประเทศมีกี่คน นพ.ทวีศิลป์ กล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานข้อมูลลงทะเบียนของคนไทยที่จะเดินทางกลับตั้งแต่วันที่ 15-18 เม.ย. ในด่านชายแดนทั่วประเทศ จำนวน 1,984 คน โดยด่านชายแดนใต้จำนวน 1,604 คน ซึ่งเฉลี่ยแต่ละวันเดินทางผ่านเข้ามาประมาณ 200 คน ซึ่งสามารถรองรับได้ ส่วนผู้ที่จะบินกลับมาถือว่ามีน้อยมาก ส่วนสถานที่กักตัวในแต่ละพื้นที่ถือว่าเพียงพอกับคนที่จะเข้ามา หากพื้นที่เต็มก็จะขยับไปจังหวัดใกล้เคียง
เมื่อถามต่อว่า คนไทยกักตัวที่บ้านรับรองสัตหีบครบกำหนด 14 วัน แต่พบว่ามี 4 คนมีไข้สูงมีโอกาสติดเชื้อโควิด-19 แม้ว่าจะกักตัวไว้ 14 วันหรือไม่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เราพยายามดูแลเอาช่วงเวลา 14 วันมาคัดกรอง เพื่อให้มั่นใจและให้แต่ละคนได้ดูแลพื้นฟูร่างกาย ซึ่ง 4 คนดังกล่าว ไม่ใช่ 4 คนแรกที่พบว่ามีไข้ ในช่วงจะครบ 14 วัน ก่อนหน้านี้มีกลุ่มแรงงานเดินทางกลับจากประเทศเกาหลี และกลุ่มคนไทยกลับจากอู่ฮั่น ประเทศจีนก็ถูกกักตัวครบ 14 วันพบว่ามีไข้เช่นกัน จากนี้ 4 คนดังกล่าวเราก็จะนำไปเข้ารับการรักษาต่อไป ส่วนคนที่เหลือสามารถกลับบ้านได้ แต่ก็มีโอกาสติดเชื้อได้เช่นเดียวกัน ถ้าไปในที่คนพลุกพล่าน หรือไม่ใส่หน้ากากอนามัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี