สมาคมโรคเบาหวานฯ เผยอยากให้มีสิทธิประโยชน์ “คัดกรองเบาหวาน” กลุ่มวัย 18-30 ปี หลังพบเด็ก-วัยรุ่น – วัยทำงานตอนต้น ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งป้องกันได้มากขึ้น เหตุเพราะพบภาวะแทรกซ้อนเร็วหลังป่วยแค่ 2- 5 ปี ชี้เป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศ ไม่อยากให้โตมาพร้อมกับโรคประจำตัว พร้อมแนะผู้ปกครองใส่ใจโรค NCDs ปรับแนวคิดเลี้ยงลูกโตตามเกณฑ์ที่เหมาะสมทั้งส่วนสูง-น้ำหนัก กระตุ้นรัฐรณรงค์เบาหวานในเด็กเหมือนกับรณรงค์ในผู้ใหญ่ด้วย
ศ.คลินิก พญ.สุภาวดี ลิขิตมาศกุล อุปนายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย แพทย์ที่เชี่ยวชาญโรคเบาหวานในเด็ก เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคเบาหวานในเด็กว่า ปัจจุบัน “โรคเบาหวาน” พบได้ในเด็กที่อายุน้อยลงขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น เบาหวานชนิดที่ 1 ที่เป็นความผิดปกติของร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ที่ขณะนี้เจอได้ตั้งแต่วัย 6 เดือน แต่เดิมจะมีอาการแสดงที่พบบ่อยช่วงอายุประมาณ 6-12 ปี และช่วงอายุ 18-24 ปี
ขณะที่เบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งแต่เดิมจะพบมากในกลุ่มผู้ใหญ่วัยทำงาน เนื่องมาจากพฤติกรรมการบริโภค รวมถึงกลุ่มเสี่ยงเช่น คนอ้วน แต่ทุกวันนี้ก็พบเจอในวัยเด็กเช่นกัน ตั้งแต่วัย 8 – 10 ปี โดยเฉพาะเด็กอ้วน และเบาหวานชนิดสาเหตุเฉพาะ ที่มีปัจจัยจากกรรมพันธุ์ และภาวะอ้วนกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติ
ที่ผ่านมา สมาคมโรคเบาหวานฯ ดำเนินโครงการเครือข่ายบริบาลเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกช่วงอายุ และเบาหวานวินิจฉัยก่อนอายุ 30 ปีของประเทศไทย (T1DDAR CN : ทิดดา) เพื่อดูจำนวนผู้ป่วยเบาหวานในเด็ก และที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ที่ลงทะเบียนเป็นผู้ป่วยรายใหม่ ซึ่งร่วมกับสมาคมต่อมไร้ท่อเด็กและวัยรุ่นไทย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) โดยเก็บข้อมูลจากโรงพยาบาลที่เข้าร่วม 37 แห่ง เมื่อปี 2557 เพื่อให้นำไปสู่การวางแผนดูแลผู้ป่วยเบาหวานในเด็กได้อย่างครอบคลุม และมีประสิทธิภาพในระบบสาธารณสุขของประเทศ
โดยข้อมูลผลสำรวจพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ มีถึง 86% ที่เป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 อีก 14% เป็นเบาหวานชนิดสาเหตุเฉพาะ และไม่มีเบาหวานชนิดที่ 2 ขณะที่อายุ 5- 10 ปี พบเบาหวานชนิดที่ 1 ถึง 90% และเบาหวานชนิดที่ 2 อีก 4% และที่เหลือเป็นเบาหวานชนิดสาเหตุเฉพาะ ส่วนกลุ่มอายุ 10- 15 ปี จะเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 68% เบาหวานชนิดที่ 2 25 % ที่เหลือเป็นกลุ่มสาเหตุเฉพาะ
อย่างไรก็ดี ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่จัดทำขึ้นโดยสมาคมโรคเบาหวานฯ กับเครือข่าย เนื่องจากการสำรวจสุขภาพประชากรไทยเกี่ยวกับโรคเรื้อรัง (NCDs) ที่สำรวจในทุกๆ 4 ปี จะสำรวจเฉพาะประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป จึงทำให้ไม่มีข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานในเด็ก หรือในกลุ่มอายุ 0 – 15 ปี แต่ทั้งนี้ ทราบว่าในการสำรวจประชากรครั้งต่อไป จะเริ่มสำรวจสุขภาพประชากรตั้งแต่วัย 10 ปีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ที่จะช่วยให้เห็นภาวการณ์สุขภาพ โรคเรื้อรัง และโรคเบาหวานในเด็กได้มากขึ้น
ศ.คลินิก พญ.สุภาวดี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันสิทธิประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานในเด็กในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในทุกชนิดเบาหวานเริ่มมีความครอบคลุม หลังจากที่ สปสช. พัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ในการรักษาเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ให้ยาอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด พร้อมกับมีอุปกรณ์ฉีดยาอินซูลิน อุปกรณ์ตรวจวัดค่าระดับน้ำตาลในเลือด และแผ่นวัดระดับค่าน้ำตาล 4 แผ่นต่อวัน เพื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานในเด็ก และผู้ปกครองผู้ป่วยได้เจาะเลือดตรวจวัดค่าระดับน้ำตาลวันละ 4 ครั้ง แบ่งเป็นก่อนมื้ออาหาร 3 ครั้ง และก่อนนอน เพื่อสามารถนำค่าน้ำตาลที่วัดได้มาคำนวณเป็นปริมาณอินซูลิน และฉีดยาอินซูลินเพื่อทำหน้าที่ควบคุมน้ำตาลในร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติ ซึ่งแนวทางการดูแลผู้ป่วยนี้ มีข้อมูลวิจัยระบุด้วยว่า เมื่อผู้ป่วยเจาะเลือดวัดระดับค่าน้ำตาลเป็นประจำ และสม่ำเสมอ จะช่วยปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เกิดการควบคุมอาหารให้เหมาะสม และจะทำให้โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เข้าสู่ระยะที่ควบคุมได้ไม่มีน้ำตาลต่ำ-สูงเกินเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 ในกลุ่มเด็กนั้น จะต้องตรวจคัดกรองเหมือนกับผู้ใหญ่ และมีสัญญาณอาการแรกเริ่มที่คล้ายกัน เช่น เด็กที่ภาวะอ้วน ชอบทานของหวาน หรือบริเวณคอมีรอยปื้นดำ ซึ่งควรต้องได้รับการคัดกรองด้วย แต่ทว่า สิทธิประโยชน์ในส่วนการตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน เป็นสิทธิให้คนไทยที่อายุ 35 ปีขึ้นไปที่ตรวจได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งสมาคมโรคเบาหวานฯ อยากให้มีการขยายสิทธิประโยชน์นี้ไปสู่กลุ่มอายุ 18 - 30 ปี เพื่อให้คัดกรองโรคเบาหวานด้วย เนื่องจากปัจจุบันพบว่าประชากรกลุ่มดังกล่าวที่มีทั้ง วัยรุ่น วัยทำงานตอนต้นที่อายุยังไม่เกิน 30 ปี ซึ่งป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 พบภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ อย่างรวดเร็วเพียงแค่ระยะเวลา 2 - 5 ปี ซึ่งเร็วกว่าเบาหวานชนิดที่ 1
“ส่วนตัวมองว่า ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องให้การรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 นี้อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็ก วัยรุ่น และกลุ่มที่อายุต่ำกว่า 30 ปี เนื่องจากเราพบว่ากลุ่มนี้มีโรคแทรกซ้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว และต้องมีนโยบายมาควบคุมให้ได้ เพราะเบาหวานชนิดที่ 2 นี้เป็นเบาหวานที่สามารถป้องกันได้ เช่น หากอ้วนก็ต้องลดน้ำหนักให้ได้อย่างน้อย 10-15% ผ่านการออกกำลังกายและรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม” ศ.คลินิก พญ.สุภาวดี กล่าวและว่า
อยากให้มีสิทธิประโยชน์ในการตรวจคัดกรองเบาหวานชนิดที่ 2 ในกลุ่มที่อายุน้อยกว่า 30 ปี เพื่อให้เกิดการคัดกรองประชากรกลุ่มนี้ และหากพบว่าป่วยและมีความเสี่ยงก็ต้องใช้กระบวนการเข้าไปดูแลรักษาอย่างเข้มงวด ทั้งในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องลดความเสี่ยงไม่ให้ป่วยผ่านการปรับพฤติกรรม หรือในกลุ่มที่ป่วยแล้วก็ต้องดูแล พร้อมกับให้องค์ความรู้ในการดูแลตัวเองอย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ที่จะเป็นทรัพยากรสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศได้มีสุขภาพดี และป้องกันไม่ให้มีภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ ตามมา ซึ่งจะเป็นภาระค่าใช้จ่ายในระบบสุขภาพของประเทศอีกในระยะยาว
“ทุกวันนี้เรามีเด็กเกิดใหม่น้อยลง ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่อยากให้ทรัพยากรของประเทศอย่างประชากรที่มีน้อยอยู่แล้วต้องเติบโตขึ้นมาพร้อมกับมีโรคประจำตัว ซึ่งปัจจุบัน ผู้ปกครองของเด็กจะต้องมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของบุตรหลาน ต้องเรียนรู้กับคำว่าโรค NCDs และป้องกันโรคนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะกับโรคเบาหวานที่หากเกิดในเด็กแล้ว หากไม่ได้รับการดูแลหรือควบคุม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคอื่นๆ ตามมา ที่สำคัญคือต้องดูแลไม่ให้อ้วน ให้โตตามเกณฑ์ที่เหมาะสมทั้งน้ำหนัก และส่วนสูง อีกทั้ง ไม่ควรมองว่าเด็กที่อ้วน จ้ำม่ำเป็นเด็กน่ารัก แต่ควรมองว่าอ้วนมากเกินไปจะเป็นบ่อเกิดของโรค ซึ่งภาครัฐอาจช่วยได้ในการรณรงค์โรค NCDs ให้มากขึ้นในกลุ่มเด็ก และผปกครอง เพื่อปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีที่มีผลต่อสุขภาพ ซึ่งเมื่อปลูกฝังสิ่งที่ถูกต้อง ก็จะเป็นพฤติกรรมระยะยาวที่ทำให้เด็กได้ดูแลตัวเองอย่างถูกต้องต่อไป” อุปนายกสมาคมโรคเบาหวานฯ กล่าวในตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี