ศบค.เสนอ‘บิ๊กตู่’อนุมัติ
ต่อพรก.1เดือน
สู้โควิดไม่ให้กลับมาระบาด
คง4มาตรการรับมือเข้มข้น
เคอร์ฟิว-งดกิจกรรมรวมตัว
ยกเลิกวันหยุดนักขัตฤกษ์พค.
ยอดติดเชื้อเพิ่มแค่9ตายอีก1
มติ ศบค.เห็นชอบต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือนตามข้อเสนอสมช.สิ้นสุด 31 พฤษภาคม แต่คง 4 มาตรการเข้มทั้ง “เคอร์ฟิว–ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด–ปิดสนามบิน-งดกิจกรรมหมู่มาก” ชงเข้า ครม.28 พฤษภาคม พร้อมเสนอเลื่อนวันหยุดเดือนพฤษภาคมออกไปก่อน ห่วงคนเดินทางทำเชื้อระบาดซ้ำ โดยที่ประชุมย้ำคลายล็อก แต่ต้องเคร่งครัดใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างทางสังคมเข้มข้นเช่นเดิม ส่วนธุรกิจที่จะเปิดกิจการได้นั้นแบ่งตามลำดับ สี “ขาว–เขียว–เหลือง–แดง”
ด้านยอดติดเชื้อรายใหม่มีแค่ 9 ต่ำสิบวันแรก ตาย 1 รวมเป็นรายที่ 52
เมื่อวันที่ 27 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) หรือศบค. โดยมีคณะรัฐมนตรี หน่วยงานด้านความมั่นคง กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือ เพื่อพิจารณาวาระสำคัญคือ การต่ออายุพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) รวมถึงการปรับข้อกำหนดให้มีการผ่อนผันธุรกิจ และมีมาตรการคู่ขนานด้านการสาธารณสุข ต้องดูแลก่อนช่วงปลดล็อก
รบ.ยึดหลักสธ.-WHOสู้โควิด-19
หลังประชุม นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. แถลงว่า ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค.เป็นประธาน นายกฯขอบคุณการทำงานในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมาหลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พร้อมชื่นชมทุกคนว่าทำงานได้ดีมากๆ ทำให้ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ อยากให้ทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายประจำ รัฐ เอกชน ร่วมมือทำงานต่อสู้กับโควิด-19 ให้ยึดหลักสาธารณสุขและองค์การอนามัยโลก (WHO)
ย้ำห้ามระบาดรอบ2-แบ่งผ่อนปรน4ระยะ
นอกจากนี้ นายกฯยังกังวลและแสดงความเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจ รายได้ประชาชนที่ลดลง ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยมอบนโยบายว่า ต้องกำหนดระยะผ่อนปรน 4 ระยะ ได้แก่ 25%, 50%, 75% และ100% ซึ่งขอให้ดูเป็นระยะๆไป และแต่ละระยะต้องใช้เวลาทบทวน 14 วันเป็นอย่างน้อย และให้มีการประเมินมาตรการต่างๆในการควบคามโรค ถ้าเปิดได้ แง้มได้ ก็ต้องปิดได้ ถ้าผ่อนปรนแล้วได้ผลก็ยืดออกไป สิ่งสำคัญในที่ประชุมไม่อยากให้เกิดการระบาดระลอกสอง ทำให้เกิดความสูญเสียมาก ที่ลงทุนมาจะล้มเหลวทั้งหมด ซึ่งการตัดสินใจขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้
สธ.ชง3โมเดลหลังผ่อนปรน
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รายงานให้เห็นถึงกรณีที่อาจเกิดขึ้น 3 กรณี 1.ถ้าควบคุมได้ดีอย่างที่เราทำอยู่ จะมีผู้ติดเชื้อ 15-30 รายวันต่อวัน ถ้านับไปอีก 3 เดือนข้างหน้าพฤษภาคม-กรกฎาคมพยากรณ์ไว้ว่า จะมีผู้ป่วย 1,889 ราย ซึ่งเข้มมากๆ อย่างที่หลายคนบ่นว่าประกอบธุรกิจไม่ได้ ถ้าเข้มเกินไปก็จะกระทบด้านอื่น ตึงไปอาจไม่ใช่ทางออกที่ดี 2.ควบคุมได้ในความเสี่ยงต่ำ การระบาดอยู่ในวงจำกัด ซึ่งระบบสาธารณสุขรองรับได้ แต่ต้องชะลอเข้าประเทศไทย ต้องกักตัว และเปิดให้ภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำดำเนินกิจการได้ จะมีผู้ติดเชื้อ 40-70 รายต่อวัน ตรงนี้พอจะคุมได้ แต่ยังมีความเสี่ยง มีการประเมินว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม.จะมีผู้ป่วย 4,661 ราย ซึ่งพอไหว และ3.ควบคุมได้ยากคือ การเปิดหลายอย่าง มีการชุมนุม เคลื่อนย้าย ผู้ติดเชื้อจะพุ่งพรวด 500-2,000 รายต่อวัน ถ้านับไปอีก 3 เดือนข้างหน้า พฤษภาคม-กรกฎาคม พยากรณ์ไว้ว่าจะมีผู้ป่วยถึง 46,596 ราย เราคงดูแลไม่ไหว ไม่อยากให้เกิดขึ้น นอกจากนี้ ช่วงที่ผ่านตรวจเชื้อไปแล้ว 178,083 ตัวอย่าง เราพยายามตรวจให้ได้เพิ่มขึ้นมาตรการเชิงรุก ปูพรมมากขึ้น เจาะเฉพาะกลุ่มแรงต่างด้าว และคนที่อยู่ในสถานที่แออัด
มติศบค.ขยายพรก.1เดือนคง4มาตรการเข้ม
โฆษก ศบค.กล่าวอีกว่า เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอที่ประชุมถึงผลสัมฤทธิ์ในการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาว่า การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทำให้การทำงานตามข้อสั่งการนายกฯเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เอกภาพ และทันท่วงที ทำให้ผู้ติดเชื้อรายวันลดลงต่อเนื่อง รวมถึงมีการสำรวจความเห็นประชาชน 4 หมื่นคน พบว่าร้อยละ 70 เห็นด้วยให้ขยายเวลา ที่ประชุมจึงเห็นควรขยายการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม โดยมี 4 มาตรการที่ต้องคงไว้คือ 1.ควบคุมการเดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักร 2.การห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน หรือเคอร์ฟิวทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่ 22.00-04.00 น. 3.งดและชะลอการเดินทางข้ามเขตจังหวัด และ4.งดการดำเนินกิจกรรมในคนหมู่มาก ทั้งในที่โล่งและที่จัดพิเศษ ถ้ามีการชุมนุมของคนมากๆ ต้องงดชั่วคราว
คลายล็อคแต่ต้องเคร่งใส่หน้ากาก-เว้นระยะ
ส่วนแนวทางที่ต้องทำต่อคือ ผ่อนปรนมาตรการต่างๆ แต่ต้องมีหลักคำนึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลัก พร้อมนำปัจจัยอื่นมาประกอบการพิจารณา ได้แก่ ให้ร้อยละ 50 ทำงานอยู่ที่บ้าน พิจารณาประเภทกิจกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตลำดับแรก ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม วัดอุณหภูมิก่อนเข้าสถานที่ มีเจลล้างมือให้บริการ จำกัดจำนวนคนในกิจกรรมและสถานที่ และนายกฯให้แนวทางใช้แอพพลิเคชั่นนำมาใช้ประโยชน์ในการติดตามผลได้ ให้ดูเรื่องของสิทธิมนุษยชนกับความปลอดภัยของสาธารณชน ให้สมดุล ถ้ามาตรการผ่อนปรนแล้วไม่ดีขึ้นจะให้ระงับมาตรการผ่อนคลายทันที
ผ่อนธุรกิจตามสีขาว-เขียว-เหลือง-แดง
นพ.ทวีศิลป์ยังกล่าวถึงข้อเสนอของเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนใน ศบค.เสนอแนวทางผ่อนคลายหลังขยายเวลาประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯอีก 1 เดือน โดยแบ่งธุรกิจเป็น 4 สี ได้แก่ สีขาว เป็นธุรกิจที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เปิดให้ดำเนินการได้ เป็นสถานประกอบการขนาดเล็กในที่โล่งแจ้ง หรือร้านขนาดเล็กควบคุมได้ สวนสาธารณะ สีเขียว สถานที่ประกอบการขนาดเล็กอาจติดแอร์หรือไม่ติดแอร์ แต่เป็นพื้นที่ไม่มาก สถานออกกำลังกายกลางแจ้ง ระดับสีเหลือง เป็นสถานที่ปิดมีคนมาจำนวนมาก ติดแอร์ และระดับสีแดง มีความเสี่ยงสูง คนแออัด ยังไม่ให้เปิด เช่น สนามมวย สถานบันเทิง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปทั้งหมด เป็นเพียงแบ่งเป็นขั้นไว้
นายกฯสั่งดูให้มั่นใจฮึ่มเปิดแล้วทำไม่ดีปิดได้
“หลักการนี้นายกฯเห็นชอบ แต่ต้องลงรายละเอียด และนายกฯระบุว่า ถ้าเลือกกิจการใดมาแล้วอยากให้เปิดได้หมดทั้งประเทศ พร้อมกันทุกจังหวัด ไม่ใช่บางพื้นที่ เพื่อประเมินดู โดยมอบให้คณะที่ปรึกษาฯไปพูดคุยลงในรายละเอียด ซึ่งจะประชุมช่วงบ่ายวันเดียวกัน (27 เมษายน) ก่อนเสนอครม.วันที่ 28 เมษายน นายกฯยังบอกด้วยว่ามาตรการเหล่านี้ไม่ได้เร่งรีบ ให้มั่นใจแล้วค่อยเปิด และเมื่อเปิดแล้วต้องประเมินทุก 14 วัน ถ้าดีก็ผ่อนปรนต่อ ถ้าไม่ดีก็ปิด อันนี้เป็นหลักการ และย้ำว่า ขณะนี้เรารอมียารักษาและวัคซีน ถ้าสองอย่างนี้เกิดขึ้นได้ก็จะกลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่ตอนนี้เรายังอยู่ในภาวการณ์ที่ต้องเผชิญไวรัส เราต้องปรับตัว” โฆษก ศบค.ระบุ
ยังไม่สรุปเปิดห้าง-ร้านตัดผม4พค.
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการแชร์ในโซเชียลมีเดียวว่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านตัดผม ร้านค้าขนาดเล็ก และร้านอาหารไม่ติดแอร์เปิดได้วันที่ 4 พฤษภาคม นพ.ทวีศิลป์กล่าวยืนยันว่ายังไม่ได้มีการลงรายละเอียด ยังเป็นแค่การเสนอโดยเลขาฯสภาพัฒน์ฯ ซึ่งไม่ได้เจาะจงรายละเอียด นายกฯให้ไปคิดกันให้ดีๆ ใช้ข้อมูลสถิติและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งบ่ายวันเดียวกันจะได้ข้อสรุป นายกฯให้เวลาทีมงานไปกำหนดให้ชัดเจน ต้องพร้อมจริงๆ ถ้าเปิดต้องพร้อมกันทั้งประเทศ ทั้งนี้ การตัดสินใจรัฐไม่ได้ตัดสินใจลำพัง แต่มีหลายภาคส่วน ทั้งด้านสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญระบาดวิทยา ภาคประชาสังคม เอ็นจีโอ ทีดีอาร์ไอ ภาคเอกชน สมาคมธุรกิจและธนาคารต่างๆ และหน่วยงานอื่นๆ อีกจำนวนมาก คิดกันหลายมิติกว่าจะออกมาเป็นข้อเสนอชุดนี้ หากมีข้อเสนอภาครัฐรับฟังอยู่แล้ว
ติดเชื้อ9รายต่ำสิบวันแรก-ตาย1
นพ.ทวีศิลป์ยังแถลงถึงสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยว่า พบผู้ป่วยรายใหม่ต่ำสิบวันแรก มีจำนวน 9 ราย เป็นผู้ที่กลับจากสหรัฐฯและอยู่ในสถานที่กักตัวของรัฐในกทม. 2 ราย ภูเก็ต 1 ราย สุพรรณบุรี 1 ราย และจากมาตรการค้นหาเชิงรุกที่ จ.ยะลา 5 ราย รักษาหายเพิ่มเติม 15 ราย หายป่วยสะสม 2,609 ราย หรือร้อยละ 89.01 อยู่ระหว่างรักษาตัว 270 ราย เสียชีวิตเพิ่มเติม 1 ราย เสียชีวิตสะสม 52 ราย ผู้เสียชีวิตรายที่ 52 เป็นหญิงไทย อายุ 64 ปี เป็นแม่บ้าน มีโรคประจำตัวโลหิตจาง สัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นคนในครอบครัวที่ป่วยถึง 5 คน วันที่ 2 เมษายน มีไข้ ไอ หอบเหนื่อย เข้ารักษาในโรงพยาบาลชุมชนที่ จ.ภูเก็ต จากนั้นวันที่ 8 เมษายน ส่งตรวจหาเชื้อพบเป็นโควิด-19 ต่อมาวันที่ 10 เมษายน อาการแย่ลง เหนื่อยมากขึ้น ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัด ปอดอักเสบรุนแรง เหนื่อยมากขึ้น การทำงานของไตลดลง ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และเสียชีวิตวันที่ 26 เมษายนด้วยระบบหายใจล้มเหลวและไตวายเฉียบพลัน
สำหรับการเดินทางกลับประเทศของคนไทยในต่างประเทศนั้น วันเดียวกันนี้ มีคนไทยกลับจากญี่ปุ่น 35 คน เนเธอร์แลนด์ 25 คน นิวซีแลนด์ 168 คน และวันที่ 28 เมษายน สเปน 12 คน และอินเดีย 20 คน เป็นนักเรียนนักศึกษา ส่วนกระทรวงมหาดไทย (มท.) รายงานตัวเลขผ่านแดนรอบประเทศ โดยมีผู้ผ่านแดนซึ่งลงทะเบียนไว้ 3,131 ราย ไม่ลงทะเบียน 1,043 ราย รวม 4,174 ราย ส่วนผู้ที่อยู่ในสถานที่กักตัวของรัฐ สะสม 3,379 ราย กลับบ้านแล้ว 1,229 ราย อยู่ระหว่างกักตัว 2,150 ราย
ห่วงคนติดเชื้อจากในครอบครัวสูง
ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไปแถลงว่า จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่เป็นเลขตัวเดียวต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ จากข้อมูลพบอัตราการแพร่เชื้อในครอบครัวสูง โดยติดจากสามี หรือภรรยาเกือบ 50% ติดลูกหรือพ่อ แม่อยู่ที่ 15-16% ฉะนั้นในครอบครัวจึงต้องป้องกัน เลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิด เว้นระยะห่าง ใช้หน้ากากในบ้าน แยกของใช้ แยกสำรับอาหาร
ยันคุมระบาดในกลุ่มต่างด้าวได้
สำหรับผลสอบสวนโรคกลุ่มแรงงานต่างด้าว 42 คนที่ศูนย์กักกันฯ ในจ.สงขลานั้น นพ.โสภณเผยว่า สาเหตุจากการที่พบผู้ป่วยติดเชื้อ เป็นแรงงานต่างด้าวตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ส่วนใหญ่อายุน้อย วัยฉกรรจ์ จึงมีอาการไม่มาก ทำให้มีการติดเชื้อระหว่างกันระหว่างต้องขัง เบื้องต้นยังไม่มีใครอาการรุนแรงถึงขั้นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ส่วนกลุ่มผู้ปฏิบัติงานด้วย นอกจาก เจ้าหน้าที่ที่ติดเชื้อไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็ไม่พบติดเชื้อเพิ่มเติม ขณะที่ผู้ต้องขังที่อยู่คนละจุดก็ยังไม่พบป่วย สรุปคือเกิดการระบาดจริงแต่อยู่ในวงจำกัดและป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อแล้ว
คลายล็อคตามประเภทกิจการพร้อมทั่วปท.
เมื่อถามถึงการจัดกลุ่มจังหวัดที่จะคลายล็อคดาวน์ที่กระทรวงสาธารณสุขส่งให้ ศบค.พิจารณา นพ.โสภณ กล่าวว่า แนวคิดล่าสุด คือ ให้เปิดได้ทุกจังหวัด แต่ต้องพิจารณาเป็นบางประเภทกิจการ ที่มีความเสี่ยงน้อยเปิดก่อน เพราะถ้าไม่เปิดพร้อมกันหมดจะเกิดปรากฎการณ์คนจากพื้นที่หนึ่งแห่ไปใช้บริการในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้เปิด ซึ่งจะเสี่ยงเหมือนเดิม ดังนั้น เรื่องจังหวัดจึงมีความสำคัญน้อยกว่าเรื่องประเภทกิจการ แต่จังหวัดที่ไม่มีโรคเลยอาจเริ่มก่อน แต่ก็ห่างกันไม่มาก สิ่งสำคัญคือ การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล การล้างมือ มีเจลล้างมือให้บริการ มีหน้ากากพร้อมใช้งานไว้คอยบริการ เน้นระบบนัดหมายให้บริการ ส่วนที่กระทรวงแบ่งพื้นที่เขียว เหลือง แดงนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มาดู แต่ใช้หลักแรกอย่างที่บอก การที่เราแบ่งพื้นที่เพื่อใช้ควบคุมทางระบาดวิทยา
ยันทำงานที่บ้านยังจำเป็น
นพ.โสภณยังขอความร่วมมือกิจการใดที่ทำได้ ขอให้ทำงานที่บ้านให้มากที่สุด หรืออาจทำวันเว้นวัน เหลื่อมเวลาทำงาน เพื่อลดความหนาแน่นในการเดินทาง หากต้องการลดจำนวนผู้ป่วยในประเทศต่อไป การคงมาตรการส่วนบุคคล การป้องกันการแพร่และรับเชื้อฯ ด้วยการใช้หน้ากากผ้าหรือหน้ากาอนามัย ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า จมูก ตาหรือปากเพราะมีโอกาสนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ ทำงานที่บ้าน เลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดโดยไม่ป้องกัน ถ้าทำต่อไปได้โอกาสพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นก็จะน้อย
เตือนแม่ค้าต้องใส่ทั้งเฟซซิว-หน้ากาก
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์โรคโควิด 19 จะพบผู้ป่วยรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงเข้มการปฏิบัติตัวตามมาตรการป้องกันการแพร่กระจายโรคอย่างเคร่งครัด หากผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ “การ์ดอย่าตก ยกให้สูง เป็นนิสัย” โดยเฉพาะสถานที่มีคน จำนวนมาก เช่น ตลาดสด ถือเป็นสถานที่สำคัญจะเกิดการแพร่เชื้อได้ ดังนั้น ต้องมีความเข้มข้นเรื่องสุขอนามัย ขอแนะนำให้ทุกตลาดสดควรทำอ่างล้างมือ เพื่อลดต้นทุนใช้แอลกอฮอล์ และ เหมาะกับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ขณะนี้ ส่วนแม่ค้าทำอาหารบังคับต้องใส่เฟสชิวด์สวมทับหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยอีกชั้นหนึ่ง ทั้งนี้ จากการที่ตนลงพื้นที่ในตลาดสดพบประชาชนหลายคนใส่เพียงเฟสชิวโดยไม่มีหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตราย ประชาชนอาจเห็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ที่ใส่เฟสชิวโดยไม่สวมหน้ากากอนามัยจึงทำตาม ซึ่งคนที่เป็นพิธีกรรายการนั้น อยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ร่วมกับคนอื่น นอกจากนี้ พื้นที่ตลาดไม่ควรพาเด็ก ผู้สูงอายุมาตลาด เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการรับเชื้อได้ง่าย
ทั้งนี้ จากการสำรวจ Thaistopcovid ในตลาด 342 แห่ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 เมษายน พบมีการปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing ระหว่างผู้ขายของกับผู้บริโภคร้อยละ 88.99, พ่อค้า แม่ค้า พนักงานตลาด และผู้บริโภคให้ความร่วมมือสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าร้อยละ 98.84 จัดให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดหรือเจลแอลกอฮอล์ ร้อยละ 96.81 และทำความสะอาดแผง โต๊ะจำหน่ายอาหารด้วยน้ำยาทำความสะอาดและน้ำยาฆ่าเชื้อทุกวัน ร้อยละ 95.65
เลื่อนวันหยุดราชการเดือนพค.ทั้งหมด
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรมเปิดเผยว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบให้เลื่อนวันหยุดราชการเดือนพฤษภาคมทั้งหมด ประกอบด้วย วันที่ 1 พฤษภาคม วันแรงงานแห่งชาติ วันที่ 4 พฤษภาคม วันฉัตรมงคล วันที่ 6 พฤษภาคม วิสาขบูชา และวันที่ 11 พฤษภาคม วันพืชมงคล โดยเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 28 เมษายน ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าหากยังให้มีวันหยุดยาว สาธารณสุขเป็นห่วงเรื่องการเดินทาง จึงเสนอไม่ให้เป็นวันหยุด ส่วนให้มีวันหยุดชดเชยเมื่อไหร่ คาดว่าอาจเป็นช่วงปลายปีนี้หรือขึ้นอยู่การพิจารณาต่อไป ยืนยันไม่มีการตัดสิทธิวันหยุดดังกล่าว แต่เป็นการเลื่อนไปก่อนเท่านั้น ส่วนเรื่องข้อปฏิบัติต่างๆ ยังเน้นตามข้อกำหนดและมาตรการของสาธารณสุข โดยเฉพาะเรื่องเว้นระยะห่าง แต่อาจผ่อนปรนตามข้อกำหนด ทั้งนี้ ย้ำว่าเรื่องการผ่อนปรนจะเป็นไปทีละขั้นและประเมินทุก 14 วัน และกิจการที่ยังคงเสี่ยงสูงก็ยังไม่ผ่อนปรน โดยจะพิจารณาผ่อนปรนตามความเสี่ยง เพราะยังคงมีความเป็นห่วงเรื่องของการแพร่ระบาด โดย นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำให้ยึดการสาธารณสุขนำเศรษฐกิจ
เข้มสกัดระบาดจนกว่าจะได้วัคซีนรักษา
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขพยายามทำให้ดีขึ้นทุกวัน โดยเข้มมาตรการทุกเรื่อง ป้องกัน รักษา คัดกรอง คัดแยก ซึ่งทำมาด้วยดี โดยเฉพาะการเว้นระยะห่างวันนี้ตัวเลขตัวเดียว แต่ขณะนี้ยังต้องการให้คงมาตรการทำงานที่บ้าน (work from home) ต่อไป เพราะตราบใดที่โรคยังมีการระบาดและยังไม่มีวัคซีนรักษา การที่จะให้คนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากหรือเป็นสังคมจะทำให้โรคกลับมาระบาดได้อีก จึงต้องคงเรื่องเว้นระยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัย การทำงานที่บ้าน และการจำกัดการเดินทางต่อไป
หนุนผ่อนแบบทุบด้วยค้อนสลับฟ้อนรำ
มีความเห็นจาก นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวระหว่างแถลงข่าวสถานการณ์คติดเชื้อไวรัสโควิด-19ว่า ไทยมีแนวโน้มมาอยู่ในกลุ่มประเทศที่ควบคุมโรคได้ดี ข้อมูลเมื่อวันที่ 14 เม.ย. ความสามารถแพร่โรคอยู่ที่ 1 ต่อ 0.77 คน ล่าสุดเชื่อว่าลดลงมาที่ 1 ต่อ 0.6 คน ส่วนอัตราการเสียชีวิตที่ 50 คนนั้น เฉลี่ย 1.8% ในขณะที่อัตราการรักษาหายกว่า 2 พันคน เหลือรักษาในรพ. หลักร้อยราย นับเป็นสิ่งที่ประเทศไทยทำได้ดี และได้รับความร่วมมือจากประชาชนในการสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างทางสังคม ดังนั้น เป็นจังหวะดีที่ประเทศจะมีมาตรการผ่อนปรน โดยใช้ทฤษฏี ทุบด้วยค้อนแล้วปล่อยให้ฟ้อนรำ (The Hummer and The dance) หมายถึง ต้องใช้มาตรการคุมเข้มเพื่อดึงตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ลดลง แล้วค่อยๆผ่อนมาตรการให้ประชาชน เหมือนที่หลายประเทศทำอยู่ แต่มาตรการทุบด้วยค้อนไม่ควรทำติดต่อกันเป็นเวลานาน เต็มที่ไม่ควรเกินเดือนครึ่ง เพราะมีผลกระทบหลายอย่าง โดยเฉพาะเศรษฐกิจ คนเครียดเพราะรายได้ลดลง ดังนั้น ต้องสร้างสมดุลทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม
ห้ามผ่อนมาตรการคุมระบาดเด็ดขาด
“ตอนนี้ถึงเวลาที่ไทยจะเริ่มผ่อนปรนให้คนไทยใช้ชีวิต ดูตามพื้นที่ และกิจกรรม แต่ไม่ผ่อนปรนเรื่องมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด คือ เว้นระยะห่าง ออกนอกบ้านแต่อย่าออกไปนาน การสวมหน้ากากทุกครั้ง การล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างต้องทำอย่างเข้มข้นห้ามผ่อนปรนเด็ดขาด” นพ.ประสิทธิ์กล่าว และว่า แต่สิ่งที่ต้องบอกไว้ก่อน จะได้ไม่ตกใจคือ เมื่อผ่อนสถานการณ์แล้ว จะมีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น เพราะอาจมีคนติดเชื้อไม่มีอาการอยู่ ถ้าประชาชนให้ความร่วมมือดี กราฟผู้ป่วยก็อาจไม่ชันมาก หากยอดป่วยสูงต้องดึงลง ต้องกลับมาควบคุมอีก มีการลงค้อนครั้งที่ 2 เพราะฉะนั้นจะเป็นลักษณะของการ ควบคุม ผ่อนคลาย สลับๆ กันแบบนี้ ประเมินผลเป็นระยะ ส่วนผู้สูงอายุยังขอให้งดออกนอกบ้านไปก่อนระยะหนึ่ง เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยง ถ้าติดเชื้อแล้วอาการจะรุ่นแรงและเสียชีวิตได้
กพท.ขยายห้ามบินเข้าไทยถึงสิ้นพ.ค.
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)เปิดเผยว่า ได้ลงนามประกาศ กพท.เรื่อง ห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยชั่วคราว ฉบับที่ 4 เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รุนแรงมากยิ่งขึ้น และเพื่อสนับสนุนการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินข้างต้นให้ยุติลงโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลและความจำเป็นในการคงความต่อเนื่องของมาตรการดังกล่าวต่อไปอีกเพื่อประสิทธิผลในการป้องกันควบคุมโรค อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27และมาตรา 28แห่งพ.ร.บ.เดินอากาศ 2497 ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้1.ห้ามอากาศยานขนส่งคนโดยสารบินเข้ามายังท่าอากาศยานในประเทศไทยชั่วคราว ตั้งแต่วันทื่ 1 พฤษภาคม เวลา 00.01 น.ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2.การอนุญาตการบินที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ออกให้อากาศยานขนส่งคนโดยสารสำหรับการบินเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงตาม 1ให้เป็นอันยกเลิก 3.ข้อห้ามตาม 2ไม่รวมถึงอากาศยานดังต่อไปนี้
อากาศยานราชการหรือที่ใช้ในราชการทหาร อากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค โดยไม่มีผู้โดยสารออกจากเครื่อง อากาศยานที่ทำการบินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ทำการบินทางการแพทย์ หรือการขนส่งสิ่งของเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้บินรับส่งบุคคลกลับประเทศไทยหรือกลับภูมิลำเนา อากาศยานขนส่งสินค้า บุคคลหรือผู้โดยสารบนอากาศยานตาม 3จะอยู่ภายใต้บังคับของมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ เช่น การกักตัวเป็นเวลา 14 วัน และบรรดาข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี