ป.เร่งตรวจสารต้องสงสัยคลี่ปมคดี‘แม่ปุ๊ก’วางยาลูก พบอาจมีเด็กอีกคนมาอยู่ในมือ
ความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุม น.ส.นิษฐา วงวาล หรือ แม่ปุ๊ก อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและรับเด็กมาแสวงหาผลประโยชน์ และฉ้อโกง หลังก่อเหตุหลอกลวงขายสินค้าต่าง ๆ ผ่านเฟซบุ๊ก โดยอ้างว่า ต้องการนำเงินไปรักษา เด็กหญิงอมยิ้ม อายุ 3 ขวบ ที่ป่วยเป็นโรคประหลาด ก่อนที่เด็กหญิงอมยิ้ม จะเสียชีวิตไปเมื่อปลายปี 2563 ต่อมา นางสาวนิษฐา อ้างว่า เด็กชายอิ่มบุญ อายุ 3 ขวบ น้องคนเล็ก ป่วยแบบเดียวกัน โดยต่อมา แพทย์ตรวจสอบอาการเด็กแล้ว พบพิรุธว่า อาจถูกสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทำลายร่างกาย ขณะที่นางสาวนิษฐา ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ที่พบเห็นคลิป และโพสต์ บริจาคเงินเข้าบัญชี ประมาณ 20 ล้านบาทนั้น
ล่าสุดเมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 24 พฤษภาคม 2563 ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป. , พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ เกิดเอี่ยม รอง ผกก.4 บก.ป.พร้อมคณะ แถลงความคืบหน้ากรณีที่กำลังตำรวจ กก.4 บก.ป.จับกุม น.ส.นิษฐา วงวาล หรือแม่ปุ๊ก อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน รับเด็กมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ และฉ้อโกง จับกุมได้ที่บ้านพักย่านดอนเมือง หลังจากโพสต์ข้อมูลและภาพในโซเชียลมีเดีย ขอรับเงินบริจาคช่วยเหลือ “น้องอิ่มบุญ” วัย 2 ขวบ ลูกชาย ที่ป่วยหนัก จนมีผู้หลงเชื่อโอนเงินให้กว่า 10 ล้านบาท แต่มีผู้สงสัยในพฤติกรรมของ น.ส.นิษฐา ตลอดจนพบข้อมูลที่ผิดสังเกตหลายประการทั้งเรื่องการดูแลรักษาลูก ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ามีเจตนาทำให้ลูกป่วย เพื่อให้เกิดความสงสาร รวมทั้งการหลอกขายสินค้าทางออนไลน์ จนนำไปสู่การสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดี
พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ได้ใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวนมานานกว่า 2 เดือน ได้มีการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลของเด็ก ทั้งของน้องอิ่มบุญ รวมถึงน้องอมยิ้ม ลูกเลี้ยงอีกคนหนึ่งของ น.ส.นิษฐา ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วจากอาการป่วย โดยได้สอบถามจากแพทย์ผู้ทำการรักษาหลายครั้ง ซึ่งข้อมูลที่ได้มา พบว่า มีการแสดงตนว่าผู้ต้องหาเป็นมารดาของเด็กทั้งสอง แล้วโพสต์ภาพ และคลิปวีดีโอ บอกเล่าอาการเจ็บป่วยของเด็ก ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เรียกร้องความสนใจว่าเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องการเงินช่วยเหลือค่ารักษา แล้วเสนอขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ จนมีผู้หลงเชื่อและสงสารเห็นใจ สั่งซื้อสินค้า รวมทั้งบริจาคเงินช่วยเหลือเป็นค่ารักษาพยาบาลลูกของผู้ต้องหา
พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่ามีการใช้บัญชีธนาคารหลายบัญชีชื่อของผู้อื่นมาอ้างว่าเป็นบัญชีตนเอง รับการโอนเงิน ส่วนกรณีอาการป่วยของเด็กนั้น เมื่อได้ตรวจสอบประวัติการรักษาก็ไม่ตรงกับที่ผู้ต้องหาให้ข้อมูลแอบอ้างทางสื่อสังคมออนไลน์ ว่าลูกป่วยด้วยโรคประหลาดที่แทบจะไม่เคยพบในประเทศไทย แต่แพทย์ระบุว่าไม่ได้เป็นโรคเช่นที่ว่า ซึ่งก็มีบริบทหลายอย่าง เช่น การอ้างอิงว่าอาจเกิดขึ้นจากเรื่องพันธุกรรม แต่ก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่ และเด็กทั้งสองก็ป่วยด้วยอาการคล้ายคลึงกัน และแพทย์ยังยืนยันได้ว่า ไม่ได้ป่วยด้วยโรคที่ผู้ต้องหากล่าวอ้าง
รอง ผกก.4 บก.ป.กล่าวอีกว่า ลักษณะของอาการก็เข้ากันได้กับการได้รับสารพิษด้วยการรับประทานเข้าไป โดยในวันที่มีการเข้าจับกุม ได้มีการขออำนาจศาลออกหมายเข้าตรวจค้นในวันเดียวกัน โดยเจ้าหน้าที่พบสารต้องสงสัยบางอย่าง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างส่งให้ทางนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบ เพื่อหาความเชื่อมโยง ว่าสารเป็นสารอะไร ส่งผลอะไรต่อร่างกายเมื่อได้รับสารดังกล่าวเข้าไป เป็นสารลักษณะเดียวกันกับที่แพทย์ได้ให้ข้อมูลไว้หรือไม่ รวมทั้งจะสามารถเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใดได้อีกบ้างหรือไม่
“ส่วนบัญชีธนาคารที่มีการเปิดไว้รองรับการโอนเงินจากผู้เสียหาย ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้ต้องหาได้ไปหลอกแม่แท้ๆ ของน้องอมยิ้ม ว่าขอให้นำเอกสารไปเปิดบัญชีธนาคารให้ อ้างว่าจะใช้สำหรับทำประกันให้กับน้อง ทางคุณแม่ก็หลงเชื่อ จึงเปิดบัญชีและส่งมาให้ผู้ต้องหา จึงถูกนำไปใช้ในการรับบริจาค และใช้ในการรับโอนเงินสั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์จากลูกค้าของผู้ต้องหา” รอง ผกก.4 บก.ป.กล่าว
ทั้งนี้ เรื่องการเปิดบัญชีธนาคารนั้น ในเบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงว่าคุณแม่แท้ๆ ของน้องอมยิ้ม มีส่วนร่วมหรือเกี่ยวพันกับการกระทำผิดของผู้ต้องหา เพียงแต่ถูกขอให้เปิดบัญชีธนาคาร และเมื่อรู้ว่าถูกออกหมายเรียก จึงรีบให้ข้อมูลทั้งหมดกับทางเจ้าหน้าที่ และได้ปิดบัญชีดังกล่าวแล้ว
พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ในรายละเอียดต่างๆ ของคดี คงต้องขอเวลาในการตรวจสอบอีกระยะหนึ่ง แต่ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ได้เร่งดำเนินการในทุกประเด็นข้อสงสัย รวมทั้งเรื่องเงินที่ใช้ในค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เงินที่เข้าออกบัญชีธนาคารทั้งหมด ซึ่งเราก็จะพิสูจน์ทั้งความผิด และความบริสุทธิ์ หากพบว่ากระทำผิดก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย สำหรับกรณีการพบว่ามีบัญชีธนาคารอีก 3 เล่ม นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่า ทางผู้ต้องหาได้ขอเอกสารจากแม่ของน้องไปเปิดบัญชีเพิ่มเติมเอง ซึ่งกรณีนี้จะต้องประสานตรวจสอบกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่แม่แท้ๆ ของน้องอมยิ้ม ยอมยกลูกให้กับผู้ต้องหาทั้งที่รู้ว่าลูกอาจไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ กล่าวว่า ประเด็นนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้สอบถามข้อมูลจากแม่ของน้องแล้ว ซึ่งพบว่าครอบครัวของแม่น้อง มีปัญหาตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมจะเลี้ยงดูลูกได้ ด้วยความหวังว่าทางผู้ต้องหา จะดูแลเลี้ยงดูได้ ประกอบกับผู้ต้องหาเคยอ้างว่าจบเภสัชศาสตร์ ทำให้แม่ของน้องอมยิ้ม ยิ่งไว้เนื้อเชื่อใจ และหวังว่าลูกจะมีอนาคตที่ดีกว่าอยู่กับตนเอง และก็เป็นการยกให้กันเอง ไม่ได้มีการจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรม ทำให้ตามกฎหมาย แม่แท้ๆ ก็ยังเป็นแม่ของน้องอมยิ้ม
พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า คดีนี้มีการแจ้งข้อหาค้ามนุษย์ ไปแล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงทางคดี ได้มีการสืบสวนสอบสวนได้พอสมควรแล้ว มีพยานหลักฐานยืนยันด้วยว่า อาจจะมีเด็กอีกอย่างน้อย 1 คน กำลังจะมาอยู่ในความอุปการะของผู้ต้องหาด้วย ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นจะมีผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องในการกระทำผิดอีกหรือไม่ คงต้องขอเวลาในการสืบสวนสอบสวนต่อไป หากพบพยานหลักฐานเชื่อมโยงเกี่ยวข้องไปถึงก็จะพิจารณาดำเนินคดีทั้งหมด สำหรับกรณีการแจ้งเกิดของน้องอิ่มบุญ นั้น อาจจะเป็นปัญหาในหลายภาคส่วนในทางปฏิบัติของหลายหน่วยงานขออนุญาต ไม่ก้าวก่าย แต่จริงแล้ว ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ
รอง ผกก.4 บก.ป.กล่าวอีกว่า ในเบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพเพียงข้อหาฉ้อโกง แต่ก็ยังอ้างว่าเป็นเพราะเกิดปัญหาขึ้นระหว่างนั้น ส่วนข้อหาอื่นๆ นั้น ให้การปฏิเสธทั้งหมด ส่วนอาการของน้องอิ่มบุญ ขณะนี้ปลอดภัยแล้ว อยู่ในความดูแลของทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ส่วนการตรวจสอบว่าเป็นลูกแท้ๆ จริงหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างรอผลตรวจดีเอ็นเอ เปรียบเทียบ ซึ่งทางผู้ต้องหายินยอมให้ตรวจแล้ว ส่วนสารต้องสงสัยก็อยู่ระหว่างส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบแล้วต้องขอเวลาในส่วนนี้ ต้องขอชี้แจงว่าบางประเด็น ก็ไม่สามารถแถลงข่าวลงลึกไปในรายละเอียดได้ เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญในการสืบสวนสอบสวน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรูปคดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี