วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสติดตามท่าน มนัญญา ไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ลงพื้นที่จังหวัดตราด เพื่อติดตามงานโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านสานต่ออาชีพการเกษตร ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินงานโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ มีเป้าหมายสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ได้กลับบ้าน และสานต่ออาชีพการเกษตรของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย โดยเน้นการนำเทคโนโลยีต่างๆ พัฒนากระบวนการผลิต การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าและการตลาด การวางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เน้นทำน้อยแต่ได้มาก ต้นทุนการผลิตต่ำ แต่ได้ผลกำไรที่คุ้มค่า โดยสหกรณ์ในพื้นที่จะเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลแนะนำอาชีพ โดยมุ่งหวังให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้ เข้ามาสานต่องานสหกรณ์ ช่วยพัฒนาสหกรณ์ในจังหวัด ในหมู่บ้านของตนเองให้เจริญก้าวหน้าและนำพาเศรษฐกิจของชุมชนให้เข้มแข็ง ซึ่งหลังจากเปิดรับสมัครโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร ไปเมื่อวันที่ 1- 31 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการจากทั่วประเทศ 7,559 ราย และมีสหกรณ์เข้าร่วมโครงการ 680 สหกรณ์
การลงพื้นที่ครั้งนี้ ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ นายสราวุฒิไกรสมุทร อายุ 40 ปี ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ ของจังหวัดตราด ถึงมุมมองและเหตุผลที่สนใจเข้าร่วมโครงการนี้ นายสราวุฒิเล่าให้ฟังว่า ตัวเขาเองเรียนจบด้านช่างและเคยทำอาชีพรับจ้างมาก่อน เดิมครอบครัวทำสวนผลไม้ แต่ได้หยุดทำไปนานแล้ว เมื่อเห็นโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ ก็มีความสนใจที่จะกลับมาอยู่กับครอบครัวและพลิกฟื้นที่ดินของพ่อแม่ประมาณ 8 ไร่ เพื่อทำเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มปลูกต้นทุเรียน โดยตั้งใจจะปลูกทุเรียนพันธุ์พื้นบ้านและพันธุ์หายากอีกประมาณ 37 สายพันธุ์ เพื่อให้เป็นแหล่งรวบรวมทุเรียนของจังหวัดตราด ระหว่างที่รอทุเรียนโตจนสามารถเก็บผลผลิตได้นั้น ก็จะปลูกข้าวไร่ในร่องทุเรียนด้วย โดยมีเครื่องสีข้าวขนาดเล็กไว้สำหรับสีข้าวขายเอง นอกจากปลูกทุเรียน และข้าวไร่ในร่องทุเรียนแล้ว ยังปลูกพืชอื่นๆ ผสมผสานอีกหลายชนิดทั้งไม้ผล ผักสวนครัว เน้นทำเกษตรแบบอินทรีย์ไม่ใช้สารเคมี มีการทำน้ำหมักและปุ๋ยไว้ใช้เอง ในอนาคตยังได้วางแผนจะทำร้านกาแฟเล็กๆในสวน เป็นแบบท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจได้เข้ามาชมสวนของเขาด้วย...นับว่าเป็นอีกมุมมองหนึ่งของผู้ที่มีความมุ่งมั่น ที่คิดจะกลับถิ่นฐานบ้านเกิดและพัฒนาพื้นที่ของตัวเองอันเป็นมรดกตกทอด ในแบบที่ชอบ มีความถนัด และมีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ ซึ่งมีความสุขกว่าต้องออกไปเผชิญชะตากรรมนอกถิ่นฐาน ลดภาระค่าใช้จ่ายและมีเงินเก็บได้มากกว่า นับเป็นการสร้างรายได้ที่มั่นคง ทั้งยังสามารถส่งต่อเป็นมรดกทางอาชีพสู่ลูกหลานในรุ่นต่อไป
สำหรับจ.ตราด มีเกษตรกรรุ่นใหม่สนใจเข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ จำนวน 23 คน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทหรืออาชีพรับจ้างทั่วไป มีความสนใจจะกลับมาทำเกษตรและใช้ที่ดินของครอบครัวให้เกิดประโยชน์ สร้างอาชีพและสานต่ออาชีพการเกษตรเลี้ยงพ่อแม่และครอบครัว ขณะนี้เจ้าหน้าที่สำนักงานสหกรณ์จังหวัด ได้ติดต่อผู้สมัครเข้าร่วมโครงการบางส่วน และได้ออกเยี่ยมเยียนสำรวจความต้องการความรู้ของผู้สมัครแล้วพบว่า ต้องการให้อบรมถ่ายทอดความรู้ในสาขาต่างๆ เรียงตามลำดับความสนใจได้แก่ เกษตรผสมผสานเกษตรอินทรีย์เทคโนโลยีการเกษตร เกษตรอัจฉริยะ เกษตรแม่นยำการปรับปรุงการผลิตการเกษตร ทักษะการเกษตร และการบริหารจัดการธุรกิจการเกษตร เป็นต้น
จะเห็นว่า โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯมุ่งหวังให้คนรุ่นใหม่ได้กลับมาอยู่กับครอบครัว มาสืบสานอาชีพทำการเกษตร โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์เข้าไปช่วยดูแลร่วมกับสหกรณ์ในพื้นที่ช่วยวางแผนเพื่อพัฒนาอาชีพตามความต้องการ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาคีต่างๆ ทั้งหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานภายนอก เข้ามาช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้และสร้างเครือข่าย โดยคาดหวังว่าคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาภาคการเกษตรของบ้านเราให้เจริญก้าวหน้า และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้นำหรือผู้บริหารสหกรณ์การเกษตรในแต่ละจังหวัด นำความรู้ความสามารถมาช่วยพัฒนาและดูแลสหกรณ์ให้เป็นองค์กรที่เข้มแข็งและเป็นที่พึ่งพาของเกษตรกรและคนในชุมชนได้ในอนาคต
สุธิพงศ์ ถิ่นเขาน้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี