วันที่ 29 มิถุนายน 2563 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) กล่าถึงผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรางการศึกษา(สกสค.) ที่มีตนเป็นประธานเมื่อเร็วๆนี้ ว่า ที่ประชมได้พิจารณา เรื่องการสรรหาเลขาธิการคุรุสภา และเลขาธิการ สกสค.รวมถึง ผอ.องค์การค้าของ สกสค.ที่การสรรหายังค้างคาอยู่ ซึ่งที่ผ่านมาตนพยายามผลักดันให้มีผู้ที่รับผิดชอบทั้ง 3 ตำแหน่งนี้แล้ว แต่ยังมีข้อติดขัดจึงให้สอบถามกฤษฏีกา และตนได้ให้สำนักนิติการ สำนักงานปลัด ศธ. ตรวจสอบข้อกฏหมาย เพื่อให้การดำเนินการถูกต้อง โดยที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค.ได้มีมติเดินหน้าเพื่อให้ 3 หน่วยงานที่จำเป็นสรรหาผู้มารับผิดชอบองค์กร เหตุผลก็เพื่อให้ขับเคลื่อนองค์กรต่อไป โดยวันนี้ที่ประชุมได้มีมติสรรหาตำแหน่งผอ.องค์การค้าที่เคยสรรหาไว้เดิมอยู่แล้ว คือ นายอดุลย์ บุตรสา ดังนั้น หลังจากนี้ตนก็จะออกเป็นประกาศ ศธ.เพื่อว่าจ้างเป็นผู้อำนวยการองค์การค้าต่อไป
รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า ส่วนการสรรหาผู้มาดำรงค์ตำแหน่งเลขาธิการคุรุสภา และเลขาธิการ สกสค.นั้น ตนได้มอบให้อัยการซึ่งเป็นคณะทำงานและฝ่ายกฏหมายดำเนินการตามขบวนการสรรหาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในเรื่องของรายละเอียด แต่เท่าที่ตนปรึกษาฝ่ายกฏหมายแล้วการสรรหานี้สามารถดำเนินการต่อไปได้
ด้านนายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ตามที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาได้ลงมติว่ากรณีการสรรหาผู้มาดำรงค์ตำแหน่งเลขาธิการ สกสค. ซึ่งยังมีคดีค้างอยู่ในศาลอุทธรของศาลปกครองกลาง ซึ่งอุทธรต่อศาลปกครองสูงสุดนั้น ไม่เป็นปัญหาต่อขบวนการที่จะสรรหาเลขาธิการ สกสค.ต่อไป ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการ ได้ส่งเรื่องนี้ให้ทางสำนักนิติการของสำนักงานปลัด(สน.สป.)กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ให้ความเห็นแล้ว ว่าสามารถดำเนินการสรรหาได้ และรมว.ศึกษาธิการ ก็ได้พิจารณาแล้วและเห็นพร้อมกับ สน.สป. จึงเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค.และ ที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค.ก็เห็นพร้องด้วยว่าให้มีการสรรหาต่อไป
“ตามที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค. ได้ให้มีการคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงค์ตำแหน่ง เลขาธิการ สกสค. และที่ประชุมได้มีการเสนอชื่อผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับการสรรหา 2 คน คือ 1.นายณรงค์ แผ้วพลสง 2.นายอรรถพล ตรึกตรอง ซึ่งเดิมคณะกรรมการฯ ได้ลงมติเลือกนายณรงค์ แผ้วพลสง เป็นเลขาธิการ สกสค. และรมว.ศึกษาธิการ ขณะนั้นก็ลงนามแต่งตั้งนายณรงค์ แผ้วพลสง เป็นเลขาธิการ สกสค. แล้ว แต่ขั้นตอนการเป็นเลขาธิการ สกสค.จะต้องเรียกมาทำสัญญาจ้าง จึงยังขาดทำสัญญาจ้าง ดังนั้น นายณรงค์ แผ้วพลสง จึงยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. แต่ระหว่างนั้น นายอรรถพล ตรึกตรอง ได้มีการฟ้องต่อศาลปกครอง โดยเหตุผลว่านายณรงค์ ส่งเอกสารไม่ครบถ้วน ศาลปกครองก็พิจารณาว่าใช่ ที่นายณรงค์ ส่งเอกสารไม่ครบถ้วนไม่ถูกต้อง แต่ศาลปกครองได้พิพากษาต่อไปว่า ที่นายอรรถพล ซึ่งขณะนั้นดำรงค์ตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. ได้มอบรองเลขาธิการ สกสค.ในขณะนั้น มาประชุมแทนเพื่อเลือกตั้งเลขาธิการ สกสค.โดยนายอรรถพลลงสมัคร เล็งได้ว่าอย่างไรรองเลขาธิการ สกสค. ก็ต้องเลือกนายอรรถพล ดังนั้น ศาลปกครองจึงยก 2 เรื่อง คือ 1 นายณรงค์ ยื่นเอกสารไม่ครบ 2.องค์ประชุมไม่ชอบ เพราะมีสภาพร้ายแรง จึงให้เพิกถอนขบวนการสรรหา
หลังจากนั้น นายอรรถพล ก็ยื่นอุทธรต่อศาลปกครองสูงสุด ยืนยันว่าคณะกรรมการครบถ้วนแล้ว ไม่เป็นสภาพร้ายแรง ในขณะเดียวกันทางคณะกรรมการ สกสค.ก็ยื่นอุทธรไปด้วยว่าเอกสารครบ นายณรงค์ ควรได้เป็นเลขาธิการ สกสค.
ดังนั้น รมว.ศึกษาธิการ เห็นว่าเรื่องนี้คาราคาซังมานานแล้ว และศาลปกครองจะพิจารณาเสร็จต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดไม่รู้ จึงได้หารือไปยังสำนักงานกฤษฎีกา ว่า ศธ.สามารถดำเนินการอย่างไรต่อไปได้บ้างในเรื่องนี้ ซึ่งทางสำนักงานกฤษฎีกา บอกว่าคดีอยู่ในชั้นศาลไม่ตอบไม่ขอหารือ ดังนั้น รมว.ศึกษาธิการ จึงได้ส่งเรื่องให้ สำนักนิติการ สำนักงานปลัด ศธ.ก็วิเคราะห์ แต่บังเอิญเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2563 ที่ผ่านมา นายณรงค์ แผ้วพลสง ได้ยื่นหนังสือต่อ รมว.ศึกษาธิการ ว่าตามที่คณะกรรมการฯได้มีมติเลือกให้นายณรงค์เป็นเลขาธิการ สกสค.ไว้แล้วนั้น นายณรงค์ได้ขอสระสิทธิ์ และไม่ติดใจที่จะเป็นเลขาธิการ สกสค.แล้ว ทางสำนักนิติการ สป.ศธ.จึงเสนอความเห็นมาว่า ในส่วนของคณะกรรมการสรรหาได้จบลงแล้ว เพราะมีมติเลือกนายณรงค์แล้ว แต่นายณรงค์บอกสระสิทธิ์ และในมติคณะกรรมการฯก็ไม่ได้สำรองไว้ว่า หากนายณรงค์สระสิทธิ์ จะให้นายอรรพลขึ้นเป็นเลขาธิการ สกสค.แทน เพราะฉะนั้น ขบวนการสรรหาตรงนั้นจึงจบลงโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ถึงแม้คดียังอยู่ในขั้นอุทธร และถึงแม้หากนายอรรถพลอุทธรชนะคดี กรรมการ สกสค.ก็ไม่ต้องพิจารณาใหม่ และไม่ได้ทำให้นายอรรถพล เป็นเลขาธิการม สกสค.ได้ เพราะถือว่าขบวนการสรรหาจบโดยอัตโนมัติแล้ว
นายสมบูรณ์ กล่าวว่า รมว.ศึกษาธิการ ได้เห็นพร้องแล้วว่า เมื่อขบวนการสรรหาเลขาธิการ สกสค.สิ้นสุดลงแล้ว ก็จะต้องมีการสรรหาใหม่ ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการฯจึงมีมติมอบให้ปลัดศธ. ไปถอนอุทธรออกจากศาลปกครองสูงสุดด้วย
นายสมบูรณ์ กล่าวต่อว่า สำหรับในส่วนของการสรรหารเลขาธิการคุรุสภา นั้น ที่ผ่านมามีการเสนอชื่อไว้ 2 คน แต่ในการประชุมกรรมการ สกสค.ครั้งนั้น มีการโต้แย้งกันเกิดขึ้นก่อนจึงเลิกประชุม ไป หลังจากนั้น ก็มีการร้องมาว่า การประกาศสรรหาเลขาธิการคุรุสภาไม่ชอบ เพราะไม่ได้ลงราชกิจจานุเบกษา ศธ.จึงมอบให้ปลัดศธ.หารือราชกิจจานุเบกษา ว่าประกาศสรรหาเลขาธิการคุรุสภา ไม่ลงราชกิจจานุเบกษาชอบด้วยกฏหมายหรือไม่ ซึ่งตาม พ.ร.บ.ครู เดิม การประกาศเหล่านี้จะต้องลงราชกิจจานุเบกษา แต่ที่ศธ.ปฏิบัติได้ปฏิบัติตามคำสั่ง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ซึ่ง คสช.ให้อำนาจ รมว.ศึกษาธิการ ประกาศ โดยที่ไม่บอกว่าจะต้องประกาศ เพราะฉะนั้น ที่เราไม่ประกาศกฤษฎีกาก็ตอบมาว่าใช่ วันนี้ศธ.ไม่ได้ดูตาม พ.ร.บ.ครู เดิม แต่เป็นการทำตามกฏหมายใหม่ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องประกาศก็เป็นการถูกต้อง รมว.ศึกษาธิการ จึงมีคำสั่งในประกาศ คสช. ว่าทั้งตำแหน่ง ผอ.องค์การค้า เลขาธิการคุรุสภา และเลขาธิการ สกสค.ในระหว่างที่ยังไม่ได้ตัวจริงจากการสรรหา รมว.ศึกษาธิการ จึงสั่งการให้ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ระดับรองปลัดศธ.หรือข้าราชการอื่นที่ระดับเทียบเท่าไปปฏิบัติหน้าที่แทน 3 ตำแหน่งนั้นเป็นต้นมา
วันนี้ รมว.ศึกษาธิการ เห็นว่าเรื่องนี้ค้างคามานานเกินไปแล้ว จึงส่งเรื่องไปที่ สำนักนิติการ สป.ศธ.ว่าประกาศที่ถูกต้องนั้นต้องทำอย่างไรได้บ้าง สำนักนิติการ ก็บอกว่าจะยกเลิกก็ได้ แต่ต้องเข้าเงื่อนไขในประกาศสรรหาที่ รมว.ศึกษาธิการ ได้ประกาศไว้ หรือจะเปิดซองก็ได้ จะคัดเลือกก็ได้ หรือจะตั้งรักษาการต่อไปก็ได้ ดังนั้น รมว.ศึกษาธิการ จึงนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค.เพื่อแสดงความคิดเห็นกัน แต่การยกเลิกการสรรหานั้น ได้เขียนเงื่อนไขไว้ชัดว่า สามารถเลือกได้ 3 เงื่อนไข คือ 1.มีปัญหาในขั้นตอนการดำเนินการสรรหาร 2.มีผู้สมัครจำนวน 100 ราย 3.เมื่อเปิดซอง (2 รายชื่อที่สรรหาไว้เดิม)เห็นว่าคุณสมบัติยังไม่ครบถ้วน แต่ในประกาศฉบับเดียวกัน พอประกาศคุณสมบัติในการเข้ามาพิจารณาสมัคร ไม่มีกำหนดไว้เลยว่าจะต้องทำอะไร บอกเพียงอย่างเดียวว่าต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฏหมาย เช่น ไม่เป็นผู้ล้มละลาย เป็นต้น
นายสมบูรณ์ กล่าวอีกว่า ดังนั้น รมว.ศึกษาธิการ รวมทั้งผู้บริหาร ศธ. มองเห็นแล้วว่า ผู้สมัครจะต้องแสดงวิศัยทัศต่อองค์กร จึงมีขบวนการสรรหาแนวใหม่ ที่จะต้องมีหัวข้อให้แสดงวิสัยทัศ เช่น ผู้สมัครมีการบ้านต่อองค์กรนี้อย่างไร และมีคำตอบในหัวข้อต่างๆนี้อย่างไรบ้าง และผู้สมัครจะได้รู้การบ้านเท่ากันทุกคน เพราะคุรุสภาเป็นองค์กรหนึ่งที่จะต้องขับเคลื่อนในหลายสิ่งหลายอย่าง ในนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และนโยบายของรัฐมนตรีที่จะต้องทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย และให้การบริหารเกิดความคล่องตัว ซึ่งคุรุสภามีหน้าที่ต่าง ๆทั้งการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู จึงควรกำหนดเป็นหัวข้อที่ชัดเจน เพื่อให้คนที่มาสมัครนั้นรู้ว่าจะต้องตอบหัวข้อที่กำหนดไว้อย่างไร เมื่อมีประกาศสรรหาใหม่ ต้องมีข้อกำหนดขัดเจน ส่วนครั้งที่แล้วมีคนสมัครไว้จำนวน 13 คน แต่มาแสดงวิสัยทัศเพียง 12 คน และในจำนวน 12 คนนี้ก็มีสิทธิ์มาสมัครใหม่ได้ เพราะยังไม่ได้ตัดสิทธิ์ออก ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปก็ให้คุรุสภาเริ่มต้นขบวนการสรรหาใหม่ โดยระหว่างนี้ก็จะมีการทำหลักเกณฑ์ใหม่ ตามประกาศ คสช.ซึ่งเป็นอำนาจของ รมว.ศึกษาธิการ ที่จะเป็นผู้ลงนามในประกาศหลักเกณฑ์ใหม่ และกำหนดหัวข้อชัดเจนว่า นโยบายใหม่กระทรวงศึกษาฯมีอะไรบ้าง เช่น นโยบายเร่งด่วน นโยบายระยะกลาง และระยะยาว ที่คุรุสภาจะต้องไปทำ โดยกำหนดให้ชัดเจนแล้วก็ประกาศสรรหาเลขาธิการคุรูสภาใหม่
“ประโยชน์ของการกำหนดหัวข้อที่ชัดเจนนี้ไว้ จะเป็นตัวกำหนดดัชนี หรือ KPI ของผู้มาทำสัญญาไว้ ว่าเมื่อแสดงวิสัยทัศไว้แล้ว ก็ต้องทำตามที่ได้ให้วิสัยทัศ เพราะ 30 วัน ก็ต้องเสนอว่าจะทำอะไรตามที่แสดงวิสัยทัศไว้ และ 6 เดือนก็จะมีการประเมินครั้งแรก ก็ต้องมาดูว่าที่เสนอแผนไว้ทำได้หรือไม่ และประเมินรายปีโดยดูตามหัวข้อที่กำหนดไว้ หากทำไม่ได้ตามสัญญาสมัยใหม่ไม่ว่ารัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนอื่นๆซึ่งจะให้อัตราเงินเดือนที่สูงพอสมควร แต่ถ้าทำผิดสัญญา เช่น เสนอแผนไปแล้วแผนไม่ผ่านการประเมินก็ให้ปรับปรุงอีก 30 วัน ถ้ายังไม่ผ่านอีกก็ให้เลิกจ้าง หรือระหว่างทำงานมีการประเมิน ถ้าไม่ผ่านก็เลิกจ้าง อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการสรรหาเลขาธิการคุรุสภา และเลขาธิการ สกสค.นี้ จะดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ขณะนี้ผู้รับผิดชอบก็ต้องร่างแผนเข้ามาเพื่อเสนอ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาว่าเป็นไปตามนโยบายที่วางไว้หรือไม่ หากเป็นไปตามนโยบาย รมว.ศึกษาธิการก็เซ็นประกาศสรรหารใหม่ คาดว่าไม่เกิน 3-4 เดือนจะมีความชัดเจนขึ้น” นายสมบูรณ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี