1.วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นวันที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศให้เปิดภาคเรียนของปีการศึกษา 2563 ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่ยุติ แต่การควบคุมการแพร่ระบาดทั่วประเทศนั้น ก็สามารถจัดการได้ในระดับที่ให้ความมั่นใจว่า โรงเรียนทั่วประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยสำหรับการเปิดการเรียนการสอนได้ ภายใต้มาตรฐานการควบคุมและการจัดการเรียนการสอนที่จะป้องกันการติดเชื้อในโรงเรียน
โดยประเด็นที่ผมมีความห่วงใย และคิดว่า “กระทรวงศึกษาธิการ” ต้องให้น้ำหนัก นั่นคือ เรื่องการจัดการเรียนการสอนว่าควรทำอย่างไร เพื่อให้เกิดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ และนักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง ท่ามกลางความปกติใหม่ (New Normal) เช่นนี้ ซึ่งข้อจำกัดสำคัญที่เกิดขึ้นก็คือ การรักษาระยะห่างของนักเรียนในชั้นเรียน เพราะปกติในชั้นเรียนหนึ่งจะมีนักเรียนจำนวน 35-40 คน โดยประมาณ (ขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนของโรงเรียน)
ดังนั้น เมื่อต้องจัดที่นั่งของนักเรียนให้เว้นระยะห่างขั้นต่ำ1 เมตร ก็จะทำให้ในชั้นเรียนหนึ่งจะมีนักเรียนได้ประมาณ 20 คนนั่นแสดงว่าจะมีนักเรียนประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่มีที่นั่งในชั้นเรียน นั่นแสดงว่า นักเรียนครึ่งหนึ่งต้องเรียนในชั้นเรียนและนักเรียนอีกครึ่งหนึ่งต้องเรียนออนไลน์ โดยให้ทั้งสองกลุ่มสลับวันกัน
2.สิ่งที่ต้องนำมาลงรายละเอียดก็คือ เมื่อต้องแบ่งนักเรียนเป็น 2 ชั้นเรียนตามตัวอย่างที่ยกขึ้นมานั้น แสดงว่าครูต้องสอนทั้งในชั้นเรียนปกติ และในชั้นเรียนออนไลน์ หมายความว่าหัวข้อสำหรับการสอนในทุกเรื่อง ครูต้องเตรียมแผนการสอนมาสำหรับ 2 รูปแบบ เพราะแผนการสอนในชั้นเรียนปกติกับในชั้นเรียนออนไลน์ต่างกัน พูดง่ายๆ ก็คือ ครูต้องทำงานหนักขึ้นเป็น 2 เท่าจากสถานการณ์ปกติ ต่อจำนวนนักเรียนเท่าเดิม (1 ชั้นเรียน = 2 กลุ่ม) ดังนั้น ถ้าโรงเรียนมีการวางแผนเตรียมการล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน (ตั้งแต่เมษายน)ความพร้อมของครูน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีพอสมควร แต่ถ้าไม่มีการเตรียมความพร้อมมาของครูมาก่อน ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างมาก และอาจนำมาซึ่งปัญหาอีกสารพัด
สำหรับบางโรงเรียนที่อาจเลือกไม่สอนออนไลน์ แต่ใช้กระบวนการแยกนักเรียนออกเป็น 2 ชั้นเรียน แล้วให้ครูสอนเป็น 2 ผลัด จาก 07.00-12.00 น. และ 13.00-18.00 น. เพื่อให้นักเรียนไม่แออัดในบริเวณโรงเรียน ซึ่งการแก้ปัญหาในรูปแบบนี้จะต้องใช้ครูเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว หรือในกรณีที่เพิ่มจำนวนครูไม่ได้ ครูประจำที่สอนปกติก็ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าแน่นอนว่าจะทำให้ครูเหนื่อยมาก และนำมาซึ่งคุณภาพของการเรียนการสอนที่ถดถอยไม่ต่างกัน
ดังนั้น การหาคำตอบในประเด็นการเตรียมแผนการสอนเรื่องเดียวกัน แต่มี 2 รูปแบบ เพื่อใช้กับชั้นเรียนที่ต่างกัน ว่าควรต้องตกผลึกอย่างไรนั้น น่าจะเป็นหัวใจสำคัญของคุณภาพในการเรียนการสอนที่จะเกิดขึ้น และปัญหาที่เห็นจากความต่างของทั้ง 2 ชั้นเรียนก็คือ การแยกครูกับนักเรียนออกจากกันโดยมีเพียงอุปกรณ์การสื่อสารและเทคโนโลยีเป็นตัวเชื่อมเท่านั้นสำหรับชั้นเรียนออนไลน์ ซึ่งส่งผลให้สมาธิและความสนใจในการเรียนของนักเรียนอยู่ในระดับที่ต่ำ เมื่อเทียบกับการเรียนอยู่ในห้องเรียน และสามารถสื่อสารได้โดยตรงต่อกันระหว่างครูกับนักเรียน โดยเฉพาะกับนักเรียนชั้นประถม และมัธยมต้น
3.นี่เองที่ทำให้หลักการเตรียมแผนการสอนสำหรับชั้นเรียนออนไลน์ต้องมีความเข้มข้นมากขึ้น ด้วยการใช้ “สื่อการสอน”ที่เป็นตัวช่วยให้นักเรียนสามารถติดตาม “ความคิด” ของสาระวิชาที่สอนได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญ สาระวิชาที่สอนในชั้นเรียนออนไลน์ ต้องเน้นที่ “สาระสำคัญ” เท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่า นักเรียนจะเข้าถึง “หัวใจ” ของสาระวิชาสำหรับการสอนในคาบเรียนนั้นได้อย่างชัดเจน โดยอาจใช้ภาพประกอบ (Infographic) ที่สื่อสารองค์ประกอบของเนื้อหาต่างๆ อย่างร้อยเรียงความเข้าใจเป็นลำดับขั้นตอน เพื่อนำไปสู่ปลายทางที่จะฉายภาพองค์ความรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ครูผู้สอนได้พยายามสื่อสาร
ส่วนประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม คือ การบันทึกภาพและเสียงของครูที่สอนทั้งในชั้นเรียนปกติและชั้นเรียนออนไลน์ เพื่อให้นักเรียนสามารถกลับเข้าไปทบทวนได้ใน Webpage ของวิชาที่สร้างขึ้น การที่นักเรียนสามารถทบทวนผ่านการสอนของครูในสาระวิชาต่างๆ ในทั้งสองชั้นเรียนที่มีความแตกต่างกันจะสามารถช่วยให้นักเรียนได้ย่อยประเด็นความคิดต่างๆ ของสาระวิชาที่สอนได้บ่อยครั้ง พร้อมทั้งเชื่อมโยงประเด็นต่างๆ ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น เพื่อนำไปสู่คำตอบที่เป็นภาพรวมทั้งหมด เพราะนักเรียนสามารถใช้เวลาได้อย่างเต็มที่ ละเอียดถี่ถ้วน โดยไม่มีข้อจำกัดในด้านของเวลา
4.การได้ศึกษาผ่านการถามตอบและอภิปรายต่อกันในชั้นเรียนจริง “คู่ขนาน” ไปกับภาพประกอบ (Infographic) ที่สื่อสารองค์ประกอบของเนื้อหาต่างๆ อย่างค่อยๆ ร้อยเรียงความเข้าใจผ่านการอธิบายจากครู ในชั้นเรียนออนไลน์ ผ่านการบันทึกภาพและเสียงนั้น ต้องบอกว่า เป็นโอกาสที่พิเศษมากๆ ของนักเรียนที่จะได้รับการสื่อสารในสาระวิชาเดียวกันผ่านรูปแบบที่แตกต่าง ซึ่งน่าจะสามารถเพิ่มหนทางในการเชื่อมร้อยความเข้าใจในสาระวิชานั้นๆ ได้มากขึ้น ทั้งในเรื่องของรูปแบบที่ประกอบ และการตีความที่ชัดเจน
สำหรับผมมีความเห็นว่า ศักยภาพของ “กระทรวงศึกษาธิการ” สามารถพาเราไปถึงจุดหมายดังกล่าวนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ถ้าตระหนักในเรื่องการมอบนโยบายเพื่อการกระจายอำนาจไปยังโรงเรียนต่างๆ เพื่อให้นำไปปฏิบัติตามบริบทสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขของโรงเรียนที่มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ เพราะภายใต้กรอบเช่นนี้แหละที่ทำให้ผมสามารถออกแบบ ระบบการเรียนการสอนแบบ“คู่ขนาน” ที่นำเสนอไปในเบื้องต้นออกมาได้ ซึ่งทำให้นักเรียนสามารถจะเรียนรู้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ และทุกเงื่อนไข (ภายใต้ข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารเท่านั้น)
และแน่นอน ถ้า “กระทรวงศึกษาธิการ” ยินดีที่จะกระจายอำนาจการจัดการเรียนการสอนออกไป เราอาจได้เห็นการเรียนการสอนในรูปแบบที่น่าสนใจ ที่หลายๆ โรงเรียนออกแบบและปรับใช้ให้เหมาะสมกับความปกติใหม่ นั่นหมายความว่า การศึกษาของไทยจะมีรูปแบบที่หลากหลายให้นักเรียนได้เลือกเรียนตามที่ตนเองสนใจ ซึ่งก็ถือเป็นแนวทางใหม่ๆ ที่ผมอยากชวนมาให้ตกผลึกร่วมกันครับ
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี