สหภาพแรงงานองค์การค้าฯจี้"นายกฯ-ณัฏฐพล"ยกเลิกคำสั่งปลดพนง.องค์การค้าฯ ยันจะเดินหน้าค้านถึงที่สุดทวงความเป็นธรรม เล็งฟ้องศาลปกครอง-แรงงาน
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 ที่ วัดสามัคคีธรรม กรุงเทพฯ สหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภา ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีสมาชิกสหภาพแรงงานองค์การค้าฯเข้าร่วมประชุมกว่า 100 คน นอกจากนี้ นายนิวัติชัย แจ้งไพร ประธานสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภา พร้อมด้วย นายอารีย์ สืบวงศ์ อดีตประธานสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภา และที่ปรึกษาสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภา ได้ร่วมแถลงข่าว กรณีมีคำสั่งองค์การค้าของ สกสค. ที่ 85/2563 ให้เลิกจ้างพนักงานเจ้าหน้าที่องค์การค้าของ สกสค.จำนวน 961 คน ซึ่งจะมีผลการเลิกจ้างในวันที่ 1 ส.ค.2563 และรอการเลิกจ้างพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกษียณในเดือนกันยายน 2563 อีกกว่า 50 คน ที่ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้าง
โดย นายนิวัติชัย กล่าวว่า สหภาพฯไม่เห็นด้วยกับคำสั่งเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และไม่เห็นด้วยกับเหตุผลที่คณะกรรมการ สกสค.อ้าง ว่า องค์การค้าฯ มีหนี้สินล้นพ้น จนไม่สามารถจ้างพนักงานต่อไปได้ โดยสหภาพฯ จะนำเนินการฟ้องตามข้อกฎหมายแรงงานและศาลปกครอง รวมถึงจะขอมติจากที่ประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2563 เพื่อขอให้ที่ประชุมใหญ่วิสามัญ มอบอำนาจให้สหภาพฯ เป็นผู้แทนสมาชิกไปดำเนินการฟ้องร้อง
ทั้งนี้ ทางสหภาพฯ ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงผู้บริหารองค์การค้าฯ ทบทวนมติหรือยกเลิกคำสั่งที่ไม่ชอบธรรมครั้งนี้ โดยสหภาพฯ จะดำเนินการคัดค้านเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่องค์การค้าฯ ทุกคนได้รับความเป็นธรรม และอยากให้ผู้บริหารสูงสุดของประเทศ คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดกับพนักงานทุกคนที่ถูกเลิกจ้างไม่มีรายได้
ด้าน นายอารีย์ กล่าวว่า การเลิกจ้างพนักงานองค์การค้าฯ ครั้งนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการจ่ายชดเชยอย่างไร ระยะเวลาเท่าไร การเลิกจ้างครั้งนี้ ถือเป็นการกระทำที่โหดร้าย เพราะไม่เคยแจ้งหรือเชิญให้พนักงาน หรือสหภาพฯ ซึ่งเป็นตัวแทนรับทราบเหตุผล หรือแม้กระทั่งสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่มีผลกระทบ การที่ผู้บริหารให้สัมภาษณ์ ว่า เป็นเพราะองค์การค้าฯ ขาดทุน ขาดสภาพคล่อง มีค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานค่อนข้างสูง มีหนี้สินล้นพ้นตัวมากกว่า 7 พันล้านบาท ซึ่งที่กล่าวหาว่าค่าจ้างในการจ้างพนักงานเจ้าหน้าที่ในอัตราที่สูง ก็ต้องตรวจสอบข้อมูลเอกสารรายงานค่าใช้จ่าย กับสัดส่วนของงานและรายได้ว่าอยู่ในอัตราส่วนของโครงสร้างราคาขาย และกำไรที่ควรจะเป็นหรือไม่
ทั้งนี้ ปัญหาขององค์การค้าฯ เกิดขึ้นมานานหลาย 10 ปี และหนี้สินที่สะสมมาก็ไม่ได้เกิดจากการทำธุรกิจ แต่เกิดจากการกู้ยืมเงินมาจ่ายค่าจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียน ที่นำไปจ้างเอกชนภายนอกจัดพิมพ์ ซึ่งเป็นการใช้เงินกู้ผิดวัตถุประสงค์ เป็นการดำเนินการที่ผิดพลาดของผู้อำนวยการองค์การค้าฯ แต่ละยุค โดยในช่วงปี 2539 - 2540 องค์การค้าฯ มีกำไรสะสมสูงสุด 1,500 กว่าล้านบาท ในปี 2541 - 2543 ก็ยังมีกำไรสะสมมาใช้จ่าย พอปี 2544 ไม่มีกำไรสะสม ตึงเริ่มกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยนำทรัพย์สินขององค์การค้าฯไปจำนอง ซึ่งสถาบันการเงินให้จัดทำแผนการรายรับรายจ่าย แต่เท่าที่ทราบมีการนำเงินไปใช้ผิดประเภทตามแผนที่วางไว้ มีการตั้งกรรมการสอบสวนแต่ก็ไม่มีข้อสรุปคนทำผิด จึงทำให้ องค์การค้าขาดทุนสุสมมาทุกปี
"พนักงานเจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานตามคำสั่งของผู้บริหาร แต่พอขาดทุน กลับเลิกจ้างพนักงานเจ้าหน้าที่ ถือเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม และเป็นที่น่าแปลกใจว่า คณะกรรมการ สกสค.สั่งเลิกจ้างพนักงานเจ้าหน้าที่องค์การค้าฯ แต่ทันทีที่เลิกจ้าง ก็ทำสัญญาจ้าง นายอดุลย์ บุสสา เป็นผู้อำนวยการองค์การค้าฯ ทันที เท่ากับว่า องค์การค้าฯ ไม่ได้ถูกยุบ แต่เป็นการล้างพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เงินเดือนสูงออกเกือบหมด เท่ากับล้มกระดานองค์การค้าฯ และมีแผนเตรียมรับพนักงานใหม่ที่ค่าจ้างถูกกว่าเข้ามา จึงอยากถามว่า แผนปรับโครงสร้างแบบนี้ เรียกว่ามีคุณธรรมหรือไม่ ส่วนการตั้งนายอดุลย์ เป็นผู้อำนวยการองค์การค้าฯ คนใหม่ ซึ่งนเป็นอำนาจของบอร์ดองค์การค้าฯอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้ลงไปดูกระบวนการสรรหาว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนตัวนายอดุลย์ ถือว่ามีความคุ้นเคยกันดี เคยเป็นรองผู้อำนวยการองค์การค้าฯ และประธานสหภาพฯ ดังนั้น จึงอยากขอให้นายอดุลย์เข้าใจการทำงานของพนักงานเจ้าหน้าที่องค์การค้าฯทุกคน และอยากให้มีการทบทวนมติและยกเลิกคำสั่งเลิกจ้าง" นายอารีย์ กล่าว
ขณะที่ นายธน เหมือนมาตย์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ 1 องค์การค้าฯ กล่าวว่า ตนก็ไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีคำสั่งการเลิกจ้างพนักงานเจ้าหน้าที่องค์การค้า แต่ก่อนที่จะมีคำสั่งนี้ออกมา ก็มีคำสั่งให้พนักงานหยุดปฏิบัติงานช่วงเดือน เม.ย.เนื่องจากมีโควิด-19 และจ่ายเงินเดือนให้เพียง 75% แต่พอกระทรวงศึกษาธิการ มีคำสั่งให้ข้าราชการกลับมาทำงาน 100% ทางสหภาพแรงงานฯ ก็ทำหนังสือสอบถามผู้บริหารก็มีคำสั่งให้หยุดงานต่อ จนกระทั้งวันที่ 29 มิ.ย.2563 มีคำสั่งเลิกจ้าง พวกเราทำงานสนับสนุนกระทรวงศึกษาฯมาตลอดไม่คิดว่าจะถูกเลิกจ้าง การถูกเลิกจ้างไม่เพียงแต่ได้รับผลกระทบเพียงตัวคนเดียวแต่กระทบถึงครอบครัวและพ่อแม่ที่ต้องดูแล ส่วนเงินชดเชยที่จะได้ ตนยังไม่ทราบว่าเท่าไหร่ เพราะถ้าเราไปรับทราบก็เท่ากับยอมรับข้อเสนอซึ่งไม่เป็นธรรม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี