กรรมสิทธิ์vsประวัติศาสตร์! สื่อฮ่องกงตีข่าว"ชาวบ้าน-นิสิต"ค้าน"จุฬาฯ"รื้อย้ายศาลเจ้าแม่ทับทิมอายุร้อยกว่าปี
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2563 เว็บไซต์ นสพ.South China Morning Post ของฮ่องกง เสนอข่าว Bangkok sea goddess temple under threat of redevelopment, but locals say the "Queen of Heaven" wants to stay put ว่าด้วยความพยายามของชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีนในกรุงเทพฯ ที่เรียกร้องไม่ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รื้อย้ายศาลเจ้าแม่ทับทิมออกไปเพื่อพัฒนาที่ดินบริเวณดังกล่าวให้เป็นที่จอดรถ อาทิ Wanphen Ploysisuay หญิงวัย 58 ปี ซึ่งอยู่ในครอบครัวที่ทำหน้าที่ดูแลศาลเจ้ามาหลายชั่วอายุคน เชื่อว่าเจ้าแม่ทับทิมไม่ต้องการย้ายไปอยู่ที่อื่น
ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นโดยชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพมาอยู่บนแผ่นดินไทยเมื่อกว่าร้อยปีก่อน พื้นที่ใกล้เคียงยังเคยมีชื่อเสียงด้านร้านอาหารริมทางและกิจการเล็กๆ อย่างร้านซ่อมจักรยาน แต่ในช่วงไม่กี่ปีล่าสุด บรรดาอาคารร้านค้าเหล่านั้นถูกรื้อเพื่อให้ที่ดินสามารถใช้พัฒนาโครงการต่างๆ ได้อีกครั้ง หลงเหลือแต่เพียงศาลเจ้าแม่ทับทิมที่ยังคงอยู่ ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ตอนนี้มีแผนก่อสร้างอาคารสูง
ย้อนไปเมื่อศตวรรษที่ 19 (ปี 2343 - 2442) บริเวณนี้ยังเป็นเพียงพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่ในปัจจุบันมันได้กลายเป็นทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ จากการแผ่กิ่งก้านของสาขาต่างๆ ของมหาวิทยาลัย ในเดือน พ.ค.2563 สำนักจัดการทรัพย์สินของจุฬาฯ ได้ส่งหนังสือขอให้ย้ายศาลเจ้าแม่ทับทิมออกภายในวันที่ 15 มิ.ย.2563 พร้อมกับเสนอว่าจะสร้างศาลเจ้าเล็กๆ บนพื้นที่ใกล้เคียง
Penprapa Suansom หญิงวัย 42 ปี ซึ่งแต่งงานกับพี่น้องคนหนึ่งของ Wanphen และอยู่ในย่านนี้มากว่า 2 ทศวรรษ กล่าวว่า เมื่อเห็นประกาศก็รู้สึกหมดหวัง ตนนั้นทำหน้าที่ดูแลศาลเจ้าด้วยโดยใช้เงินบริจาคจากผู้ศรัทธา บ่อยครั้งที่กว่าจะได้นอนก็ต้องรอจนถึงช่วงดึก และแม้กระทั่งคนที่ต้องการมาสักการะในช่วงหลังเวลาปิดศาลเจ้าแล้ว หากตนอยู่ก็จะเปิดให้เข้าไปได้
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ตามตำนานเล่าว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อนที่ชาวจีนอพยพออกจากบ้านเกิดเพื่อไปแสวงหาโอกาสในชีวิต มีกลุ่มหนึ่งเมื่อเดินทางโดยเรือมาถึงกรุงเทพฯ ได้เห็นวัตถุบางอย่างทำจากไม้ลอยอยู่ในคลอง เมื่อพวกเขานำขึ้นมาก็พบว่าเป็นรูปสลักเจ้าแม่ทับทิม หรือที่ชาวจีนเรียกว่า "หม่าโจ้ว (Mazu)" หรือบางคนก็เรียกว่า "อาม่า (A-Ma)" ซึ่ง Wanphen เชื่อว่า รูปสลักนี้ลอยมาไกลจากแผ่นดินจีน หรือไม่ก็อาจจะมาจากสวรรค์ รูปสลักถูกส่งต่อไปให้ปู่ทวดของตนซึ่งกำลังเลี้ยงเป็ดอยู่ในย่านชนบทของกรุงเทพฯ และปู่ทวดก็ได้สร้างศาลเจ้าเล็กๆ ขึ้นมา
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ศาลเจ้าแม่ทับทิมกลายเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวทางใจของชาวจีนอพยพซึ่งยังมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพหลากหลายทั้งกรรมกร คนงานรับจ้างทั่วไปและช่างฝีมือ เป็นเวลากว่าร้อยปีที่เจ้าแม่ทับทิมได้รับคำอธิษฐานจากผู้คนที่ศรัทธา มีการจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่ปีละ 2 ครั้งโดยจะมีการแสดงงิ้ว ศาลเจ้าเคยถูกทำลายจากเพลิงไหม้มาแล้วครั้งหนึ่ง และจากการทุบทิ้งเพื่อสร้างอาคารอีกครั้งหนึ่ง กระทั่งในปี 2513 ผู้คนร่วมบริจาคสร้างศาลเจ้าจากคอนกรีต ซึ่งก็คือศาลเจ้าแม่ทับทิมที่ตั้งอยู่ ณ ปัจจุบัน
Vipooh Vongjoy ช่างฝีมือซึ่งชำนาญงานด้านศิลปะของศาสนสถาน และมักมาสวดภาวนาที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมแห่งนี้เป็นประจำ กล่าวว่า อาคารนี้เปรียบเสมือนสิ่งที่บันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ไว้ (Time Capsule) มันทำจากคอนกรีตที่จำลองแบบมาจากศาลเจ้าดั้งเดิมที่สร้างจากไม้อย่างประณีต เช่นเดียวกับ Ampantep Tharnwanitchakarn นิสิตชั้น ป.โท ของจุฬาฯ และทำงานด้านออกแบบเครื่องประดับ ที่กล่าวว่า ครั้งหนึ่งศาลเจ้าแห่งนี้เคยเป็นหัวใจและจิตวิญญาณของชุมชนที่ไม่เหลืออยู่อีกต่อไป ศาลเจ้านี้คือร่องรอยสุดท้าย
Ampantep ชายวัย 24 ปี ผู้สนใจศึกษารายละเอียดของศาลเจ้าแห่งนี้อย่างทุกซอกทุกมุม จนเป็นห่วงว่าภูมิปัญญาเก่าแก่จำนวนมากกำลังจะสูญหายไป ส่วน Wanphen เสริมอีกว่า พ่อของตนคือผู้ดูแลศาลเจ้าคนก่อน และตนมีความทรงจำที่ดีกับศาลเจ้าแม่ทับทิมแห่งนี้มากมาย รวมถึงแม่ของตนที่แม้จะเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ตนรับรู้ได้ว่าวิญญาณของแม่ยังอยู่ที่นี่ โดยเจ้าแม่เป็นผู้พาลงมาจากสวรรค์
การคัดค้านการรื้อย้ายศาลเจ้าแม่ทับทิมยังเกิดขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิสิตกลุ่มหนึ่ง ที่นำโดย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล (Netiwit Chotiphatphaisal) ชายไทยเชื้อสายจีนวัย 24 ปี ปัจจุบันศึกษาอยู่ในคณะรัฐศาสตร์และเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นผู้จุดกระแสเรื่องนี้ผ่านช่องทางออนไลน์ เปิดเผยว่า ล่าสุดโครงการได้ถูกระงับไว้ชั่วคราว แต่หากยังมีการผลักดันอีกตนก็จะยกระดับการเคลื่อนไหวเช่นกัน
แม้จะถูกมองว่าเป็นเสมือนหนามยอกอกฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัย โดยย้อนไปในปี 2559 ได้ท้าทายขนบประเพณีด้วยการปฏิเสธที่จะแสดงความเคารพพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสถาบันการศึกษาด้วยการหมอบกราบ รวมถึงการคัดค้านการรื้อย้ายศาลเจ้าแม่ทับทิม แต่ถึงกระนั้น เนติวิทย์ ยืนยันว่าตนจะไม่หยุดเคลื่อนไหว เพราะการทำลายศาลเจ้าเป็นเรื่องผิด นี่คือมรดกทางวัฒนธรรมของกรุงเทพฯ และเป็นความทรงจำของชุมชนชาวจีน
รายงานข่าวทิ้งท้ายด้วยความรู้สึกหงุดหงิดของ Wanphen และ Penprapa ทุกครั้งที่เห็นคนงานรื้อถอนเดินทางมาถึงและพยายามจะรื้อสถานที่ทางประวัติศาสตร์แห่งนี้ ก่อนตัดไปที่ภาพของ Jaekeng Seakau หญิงชราวัย 67 ปี เดินช้าๆ ถือไม้เท้าในมือ ซึ่งสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากอาการป่วยที่หัวเข่า Jaekeng เดินไปที่ศาลเจ้าเพื่อสวดอธิษฐานให้ศาลเจ้าแม่ทับทิมยังคงอยู่ต่อไป แม้ตนเองจะเดินไม่ค่อยไหวก็ตาม
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.scmp.com/print/lifestyle/arts-culture/article/3091946/bangkok-sea-goddess-temple-under-threat-redevelopment-locals
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี