นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าว ในโอกาสเดินทางศึกษาเรื่องพลังงานชุมชน ณ วิสาหกิจชุมชนไผ่เพชรล้านนา บ้านห้วยพระเจ้า ต.แม่สุก อ.แจ้ห่ม จ.ลำปางว่า กระทรวงพลังงานพยายามอย่างยิ่งที่จะใช้มิติด้านพลังงานเข้ามาร่วมเสริมความเข้มแข็งเกษตรกรทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการพืชพลังงานนำมาทำโรงไฟฟ้าชุมชน หรือพืชพลังงานที่นำไปแปรรูปเป็นพลังงานทางเลือกอื่นๆ เช่น ไบโอดีเซล หรือเอทานอล โดยกระทรวงพลังงานจะร่วมกับสภาเกษตรกรฯ เมื่อโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเริ่มต้นช่วงเวลายื่นเสนอโครงการฯ กระทรวงพลังงานจะขอข้อมูลจากสภาเกษตรกรแห่งชาติเข้าร่วมวิเคราะห์ว่าโครงการที่ขอเข้ามานั้น มีศักยภาพความเป็นไปได้ หรือประสบการณ์ปลูกพืชพลังงานกลุ่มนั้นอย่างแท้จริงหรือไม่
“โรงไฟฟ้าชุมชน”คือ ความตั้งใจของกระทรวงพลังงาน ซึ่งหัวใจสำคัญคือ ความแข็งแรงของเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการและมีส่วนเป็นเจ้าของ นำไปสู่ความมั่นคงในการขายพืชพลังงานป้อนสู่โรงไฟฟ้าชุมชน หากเกษตรกรมีความแข็งแรง ประเทศไทยก็จะแข็งแรงเพราะเกษตรกรเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นความแข็งแรงที่เป็นโครงสร้างที่มั่นคงของประเทศไทยมาตลอด ”นายสนธิรัตน์ กล่าว
ขณะที่ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาตินายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ กล่าวเสริมว่า จากประกาศนโยบายของกระทรวงพลังงานเป็นเรื่องที่ถูกใจเกษตรกรทั้งประเทศ เช่นสูบน้ำจากบ่อบาดาลด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) พลังงานชุมชน เกษตรกรต่างเฝ้าติดตามว่าเมื่อไหร่จะเกิดเป็นรูปธรรมจริงสักที จนเมื่อรมว.พลังงานลงพื้นที่พร้อมทีมงาน เพื่อศึกษาพลังงานชุมชน และเห็นว่า “ไผ่” ใช้ประโยชน์ได้มากหลากหลาย ตั้งแต่เรื่องอาหาร ที่อยู่อาศัย เฟอร์นิเจอร์ ไม้ใช้สอยประจำวัน จนถึงเรื่องพลังงาน “ไผ่” จึงเป็นอีกส่วนหนึ่งที่กระทรวงพลังงานจะเอาใจใส่ เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลโดยสภาเกษตรกรแห่งชาติจะช่วยวิเคราะห์พื้นที่ศักยภาพ ส่วนความห่วงใยและความกังวลเรื่องการจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนหนีไม่พ้นเรื่องของมลภาวะ ความจริงคือปัจจุบันประเทศไทยมีเทคโนโลยีที่แพร่หลายในการเผาไหม้สมบูรณ์จนแทบไม่ปล่อยมลภาวะเลย สิ่งที่น่าห่วงคือ ภาครัฐจริงจังแค่ไหน เช่น พื้นที่ปลูก เกษตรกรปลูกพืชพลังงานในพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิก็ต้องอนุญาตให้นำมาใช้ประโยชน์หรือเอามาขายได้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงพลังงานต้องหารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านเกษตรกรพร้อมมากที่จะนำศักยภาพอื่นมาพัฒนาเป็นเศรษฐกิจของตนเอง เพียงภาครัฐต้องเข้าใจและมีนโยบายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับปัญหาของเกษตรกร
“ต้องฝากเกษตรกรทั้งประเทศให้ความสนใจเรื่องพลังงานชุมชน หากสนใจเรื่องฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก เรื่องไผ่ ข้าวโพด พืชพลังงานอื่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นคำตอบที่จะเป็นรูปธรรมที่สุดที่จะสร้างเศรษฐกิจฐานราก แก้ปัญหารายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นรูปธรรมและยั่งยืน การขายพลังงาน ขายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบไม่เคยมีปัญหาเรื่องราคา เพราะผู้ซื้อโดยเฉพาะภาคราชการเป็นผู้ซื้อหลักไม่มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ขายไฟฟ้าเข้าระบบอย่างน้อยที่สุดเพื่อดูแลตัวเอง ใช้ในฟาร์มหมู ฟาร์มไก่ หากเกษตรกรทั้งประเทศใช้โมเดลนี้จะลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนลดต้นทุนการผลิตของตัวเองลงได้ ที่สำคัญหากกระทรวงพลังงานนำเรื่องนี้เป็นนโยบายจะทำให้เกษตรกรในพื้นที่ชนบทเข้มแข็งมากขึ้น มีเศรษฐกิจมั่นคงมากขึ้นได้” นายประพัฒน์กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี