เข้าหน้าฝนทีไร ใครที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ปลายน้ำคงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามนี้ขึ้นมาในใจ โดยเฉพาะคนในพื้นที่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ที่อาจต้องคิดถึงคำถามนี้มากเป็นพิเศษ เพราะจากเหตุการณ์ “น้ำท่วมรอระบาย” จากฝนนอกฤดูที่เกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงก่อนหน้านี้ ย่อมทำให้หลายคนอดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้ว่า เมื่อถึงเวลาของหน้าฝนจริงๆ หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบจะ “เอาอยู่”ได้จริงหรือไม่
แน่นอน..คนที่จะให้คำตอบเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก “กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ” (กอนช.) โดย ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการ กอนช. กล่าวว่าถ้าถามว่าปีนี้จะเกิดน้ำท่วมหนักใน กทม. หรือไม่ คงตอบได้ว่า “เป็นไปได้ยาก” เพราะ1.จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาชี้ว่าแนวโน้มปริมาณฝนปีนี้จะน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 2.ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วประเทศขณะนี้มีอยู่ประมาณ 35,000 ล้าน ลบ.ม. หรือ 40% ของปริมาณเก็บกักจึงรับน้ำได้อีกมาก และ 3.ประสบการณ์จากน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีการวางแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบและเชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
“แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสเกิดน้ำท่วมเลย” ดร.สมเกียรติ ย้ำก่อนขยายความว่า เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของ กทม. ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำและอยู่ท้ายน้ำ ต้องรับน้ำจาก 3 ทิศทาง คือ 1.น้ำเหนือที่หลากลงมา 2.น้ำฝนที่ตกลงมา และ 3.น้ำทะเลที่หนุนขึ้นมารวมทั้งอาจเกิดปัจจัยอื่นแทรก เช่น การเกิด “พายุจร”
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีเป็นห่วงในเรื่องนี้มาก จึงสั่งการให้ กอนช. เข้าไปบูรณาการรับมือสถานการณ์น้ำท่วมขังในเขต กทม. ให้มี
ประสิทธิภาพ ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ กอนช. กำชับให้เร่งดำเนินการ8 มาตรการ 1.การคาดการณ์พื้นที่เฝ้าระวังน้ำท่วม 2.การปรับแผนเพาะปลูกในลุ่มเจ้าพระยาเพื่อใช้เป็นที่รับน้ำช่วงน้ำหลาก 3.จัดทำเกณฑ์บริหารน้ำในอ่างเก็บน้ำ 4.ตรวจความพร้อมของอาคารชลศาสตร์และสถานีโทรมาตร 5.ตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางน้ำ 6.สำรวจและขุดลอกแม่น้ำคูคลอง 7.เตรียมเครื่องมือเครื่องจักร และ 8.การประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนรับรู้ รวมทั้งมีการตั้งคณะทำงานบูรณาการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กทม. จังหวัดปริมณฑล กรมชลประทาน เป็นต้น”
ดร.สมเกียรติ กล่าวต่อว่า “การระบายน้ำ” ถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมใน กทม. โดยภาพใหญ่ของการบริหารจัดการต้องทำให้เกิดความสัมพันธ์กันตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ เช่น การจัดทำเกณฑ์การระบายน้ำของแต่ละเขื่อน การคาดการณ์ฝน การจัดการจราจรทางน้ำ การเตรียมทุ่งรับน้ำเพื่อชะลอน้ำหลาก รวมถึงการพัฒนาทางผันน้ำอ้อมเมือง การบริหารประตูระบายน้ำและการจัดการคูคลองเพื่อเร่งระบายน้ำออกไปยังทิศทางต่างๆ ให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
โดยการบริหารจัดการน้ำที่จะไหลผ่าน กทม. ทั้งฝั่งธนบุรีบริเวณคลองทวีวัฒนาเชื่อมกับคลองมหาสวัสดิ์ซึ่งอยู่ในเขตนนทบุรี จะใช้วิธีการกำหนดเกณฑ์ว่าระดับน้ำด้านหลังประตูระบายควรมีน้ำอยู่ที่ไม่เกินระดับเท่าใด ถ้าเกินก็ต้องปิดประตูระบายน้ำเอาไว้ก่อน แต่ถ้าด้านนอกมีระดับน้ำสูงถึงเท่าใด เช่น 1.40 เมตร ก็ต้องเปิดประตูระบายน้ำเข้ามา แล้วเร่งผันน้ำไปออกทะเลทางฝั่งตะวันตก
ส่วนฝั่งตะวันออกซึ่งมีคลองมีการเชื่อมต่อจากด้านบนลงมาเช่น คลองเปรมประชากร ซึ่งคาบเกี่ยวกับ จ.ปทุมธานี ต้องอาศัยสถานีสูบน้ำหลักหกของกรมชลประทานมาช่วยจัดการน้ำ ส่วนน้ำในพื้นที่ที่อยู่นอกคันพระราชดำริ จะถูกผันออกไปโดยผ่านสถานีสูบน้ำคลองหกวาสายล่าง หนองจอก และประเวศ โดยการสูบน้ำต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่วางร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นกัน
สำหรับพื้นที่ด้านในของ กทม. การระบายน้ำจะทำผ่านเครื่องมือหลัก คือ ระบบท่อ ระบบคลอง ระบบสถานีสูบน้ำ และอุโมงค์ระบายน้ำ 4 แห่ง คือ อุโมงค์ระบายน้ำคลองเปรมประชากร อุโมงค์ระบายน้ำบึงมักกะสัน อุโมงค์ระบายน้ำคลองแสนแสบและคลองลาดพร้าว และอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ เพื่อระบายน้ำไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยา โดย กทม. ได้ดำเนินการล้างทำความสะอาดท่อระบายน้ำรวมเป็นระยะทาง 3,240 กม. รวมถึงขุดลอกคูคลอง 80 แห่ง ความยาว 91 กม. และเปิดทางน้ำไหล 1,339 คลอง ความยาว 1,543 กม. ซ่อมบำรุงสถานีสูบน้ำ 191 แห่ง ระบายน้ำ42 แห่ง และบ่อสูบน้ำ 306 แห่ง พร้อมทำการลดระดับน้ำในแก้มลิงคู คลอง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณฝนที่จะเกิดขึ้น
ขณะที่ในพื้นที่จุดเสี่ยง 14 จุด เช่น ถ.ศรีอยุธยา ถ.แจ้งวัฒนะถ.พญาไท เบื้องต้นมีการก่อสร้างท่อใต้ดินขนาดใหญ่ หรือระบบPIPE Jacking เพื่อระบายน้ำท่วมขังบริเวณแยกเกษตร ถ.พหลโยธินไปสู่คลองลาดพร้าว พร้อมกับมีการก่อสร้างถังเก็บน้ำใต้ดิน หรือ Water Bank เพื่อเก็บน้ำส่วนเกินในจุดเสี่ยงอีก 4 แห่ง ซึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว 2 แห่ง คือ วงเวียนหลักสี่ และ ซ.สุทธิพร ย่านดินแดง ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาปัญหาได้ ขณะที่อีก 2 แห่ง คือ ถ.ศรีนครินทร์ และจุดตัด ถ.รัชดาภิเษก กับ ถ.วิภาวดีรังสิตจะแล้วเสร็จเร็วๆ นี้
“การเตรียมพร้อมทั้งหมดนี้ น่าจะช่วยรับประกันได้ในระดับหนึ่งว่า ฤดูฝนปีนี้การบริหารจัดการเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังในเขต กทม. จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม และจะไม่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมหนักขึ้นอย่างแน่นอน จึงขอให้ทุกคนสบายใจได้” ดร.สมเกียรติ กล่าวก่อนทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญที่อยากขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคน คือ ให้ช่วยกันดูแลระบบท่อน้ำและคูคลองต่างๆ ด้วยการไม่ทิ้งเศษอาหาร ขยะ สิ่งปฏิกูล หรือเศษวัสดุต่างๆ ลงระบบระบายน้ำสาธารณะ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบการระบายน้ำด้อยประสิทธิภาพ
“แค่ขยะชิ้นเดียว ก็อาจทำให้เครื่องสูบน้ำพังได้ทั้งเครื่อง”
ดังนั้นทุกคนต้องร่วมมือกัน หรือไม่ก็ต้องทนรับกรรมอยู่กับ “น้ำท่วมรอระบาย” กันต่อไป!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี