นางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)เปิดเผยว่า เกษตรอินทรีย์เป็นแนวทางการผลิตที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยอาหารของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค รวมทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันผู้บริโภคได้ใส่ใจเรื่องสุขภาพและให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ทำให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเพิ่มพื้นที่และจำนวนเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ เพิ่มสัดส่วนตลาดเกษตรอินทรีย์ภายในประเทศ รวมทั้งยกระดับกลุ่มเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน นำไปสู่การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศ
สศก.ศึกษาโซ่อุปทานผักสลัดอินทรีย์ ในจ.เชียงใหม่ และนครราชสีมา ซึ่งปลูกผักสลัดอินทรีย์ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน Organic Thailand มากที่สุดในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้เป็นแนวทางสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตผักสลัดอินทรีย์ให้เกษตรกร โดยรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้องในโซ่อุปทานต้นน้ำ ได้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายตลาด เจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผนผลิต เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการผลิต และเกษตรกร เกี่ยวกับการวางแผนผลิต จัดหาปัจจัยการผลิต และการผลิต กลางน้ำ ซึ่งเป็นการจัดการผลผลิต ผู้ที่เกี่ยวข้องในโซ่อุปทานกลางน้ำ ได้แก่ เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการตรวจสอบสารตกค้าง โรงคัด บรรจุ ตกแต่ง และผู้รวบรวม และปลายน้ำ เป็นการกระจายผลผลิต ผู้ที่เกี่ยวข้องในโซ่อุปทานปลายน้ำ ได้แก่ ร้านค้าห้างสรรพสินค้า บริษัท และผู้บริโภค
หากพิจารณาต้นทุน ผลตอบแทนการผลิต วิถีการตลาด ส่วนเหลื่อมการตลาด พบว่า เกษตรกรที่ปลูกผักสลัดอินทรีย์ อาทิ ผักกาดหอม ผักกาดแก้ว สลัดคอส กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค ใน 1 รอบการผลิต ซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่เพาะปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 50 วันเท่านั้น ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 9,501 บาท/ไร่ ให้ผลผลิตเฉลี่ย 842 กิโลกรัม/ไร่ ราคาที่เกษตรกรขายได้ 52.41 บาท/กิโลกรัม ผลตอบแทน 44,112 บาท/ไร่ คิดเป็นผลตอบแทนสุทธิ (กำไร) 34,611 บาท/ไร่ ส่วนวิถีตลาดผักสลัดอินทรีย์ในจ.เชียงใหม่ เกษตรกรจะส่งผลผลิตขายให้ศูนย์/สถานีโครงการหลวง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแกน้อย อำเภอเชียงดาว สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์อำเภอจอมทอง สถานีเกษตรหลวงอ่างขางอำเภอฝาง เพื่อส่งต่อศูนย์รวบรวมผลผลิตมูลนิธิโครงการหลวงแม่เหี๊ยะในการกระจายสินค้า ส่วนในจ.นครราชสีมา ผลผลิตส่วนใหญ่ส่งขายให้สหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชนในอ.วังน้ำเขียว ได้แก่ สหกรณ์กสิกรรมไร้สารพิษในเขตปฏิรูปที่ดินอำเภอวังน้ำเขียว จํากัด วิสาหกิจชุมชนผักอินทรีย์แปลงใหญ่นิคมเศรษฐกิจพอเพียง อำเภอวังน้ำเขียว และอีกส่วนหนึ่งขายหน้าแปลง
สำหรับส่วนเหลื่อมการตลาด หรือความแตกต่างระหว่างราคาที่ผู้บริโภคจ่ายหรือราคาขายปลีก กับราคาที่ผู้ผลิตหรือเกษตรกรได้รับ กรณีศูนย์/สถานีโครงการหลวง สหกรณ์ฯ วิสาหกิจชุมชนฯ ขายให้กับผู้รวบรวม มีส่วนเหลื่อม 25 บาท/กิโลกรัม และผู้รวบรวมขายให้ร้านค้าห้างสรรพสินค้า บริษัทในจังหวัด และกรุงเทพมหานคร มีส่วนเหลื่อม 20 บาท/กิโลกรัม ส่วนร้านค้าห้างสรรพสินค้า บริษัทในจังหวัด และกรุงเทพฯ ขายให้ผู้บริโภค มีส่วนเหลื่อม 53 บาท/กิโลกรัม เนื่องจากผักสลัดเน่าเสียและเสียหายง่าย ทำให้ส่วนเหลื่อมค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าการผลิตผักสลัดอินทรีย์มีการบริหารจัดการที่ดี มีตลาดแน่นอน ให้ผลตอบแทนสูง และสามารถเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรเป็นอย่างดี ดังนั้น ผักสลัดอินทรีย์จึงเป็นพืชอีกชนิดหนึ่ง ที่ภาครัฐควรส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกมากขึ้น ตลอดจนสนับสนุนปัจจัยการผลิต ด้านเงินทุนเพื่อใช้พัฒนาเทคโนโลยีปรับปรุงขบวนการผลิต เช่น โรงเรือน ห้องเย็น และห้องตรวจสอบสารพิษตกค้าง และควรส่งเสริมให้ตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์ เพื่อลดต้นทุนเมล็ดพันธุ์การผลิตให้เกษตรกร สำหรับผู้สนใจผลการศึกษา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนวิจัยเศรษฐกิจเทคโนโลยีและปัจจัยทางการเกษตร สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โทร.0-2579-8615
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี