สปสช.เร่งขยายผลตรวจสอบ พบเพิ่ม"5คลินิกทันตกรรม"ทุจริตงบส่งเสริมป้องกันโรคกองทุนบัตรทอง พร้อมเร่งเอาผิด18คลินิกเอกชน ประสาน"สบส.-กองปราบปราม-ดีเอสไอ"ลงพื้นที่ตรวจสอบอายัดเอกสารหลักฐาน
เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วย นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าว “ความคืบหน้า สปสช.เร่งดำเนินการเอาผิดหน่วยบริการทุจริตเงินบัตรทอง”
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ตามที่ระบบการตรวจสอบปกติของ สปสช. โดย สปสช.เขต 13 กทม. พบการจัดทำเอกสารหลักฐานเท็จเพื่อเบิกเงินค่าบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคในกลุ่มของโรคเมตาบอลิก จาก “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” หรือ “กองทุนบัตรทอง” ปีงบประมาณ 2562 ในคลินิกเอกชน 18 แห่ง ที่ผ่านมา สปสช.ได้เร่งเอาผิดทุกช่องทางตามกฎหมายแล้ว ซึ่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กำชับให้พิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนและจัดการกับผู้ที่โกงเงินงบประมาณชาติโดยเร็ว โดย สปสช.ได้เดินหน้าเอาผิดทุกช่องทาง ทั้งยกเลิกสัญญาทันทีพร้อมเรียกเงินคืน แจ้งความคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกง คดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นเพื่อเตรียมฟ้องร้องคดีแพ่งเพิ่มเติม และดำเนินการทางจรรยาบรรณวิชาชีพแล้ว
ต่อมา สปสช.ตรวจสอบเพิ่มเติมพบคลินิกทันตกรรมอีก 2 แห่ง เบิกจ่ายทุจริตงบบัตรทองลักษณะเดียวกันนี้ โดยมีห้องปฏิบัติการ (Lab) 2 แห่ง สมรู้ร่วมคิดปลอมแปลงเอกสารหลักฐานทุจริต โดย สปสช.ได้เข้าแจ้งความคดีอาญาที่กองบังคับการปราบปรามแล้วเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 และวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 พร้อมกันนี้ในส่วนคลินิกเอกชน 18 แห่ง เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 สปสช.ได้มอบเอกสารหลักฐาน อาทิ เอกสารสรุปประเด็นความผิด ประเภทความผิด วันและเวลาที่กระทำความผิดโดยการปลอมแปลงเอกสารหลักฐานเป็นเท็จ เพื่อเบิกค่าบริการเพิ่มเติมแห่งละประมาณ 50 ฉบับ ให้กองบังคับการปราบปรามเพิ่มเติม เพื่อความสมบูรณ์ของเอกสารหลักฐานในการดำเนินการทางกฎหมาย
"ในการเร่งเอาผิดกับคลินิกเอกชนทุจริตเงินบัตรทอง เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา สปสช.ได้ประชุมร่วม 3 หน่วยงาน คือ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และกองบังคับการปราบปราม เพื่อหารือถึงการดำเนินการกับหน่วยบริการทุจริตงบบัตรทอง และวันนี้ (29 ก.ค. 63) ทั้ง 3 หน่วยงานได้ร่วมลงพื้นที่คลินิกทันตกรรม 2 แห่ง และห้องปฏิบัติการ (lab) 2 แห่ง เพื่ออายัดเอกสารหลักฐานพร้อมคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาตรวจสอบตามที่ สปสช.ได้แจ้งเบาะแส พร้อมตรวจสอบบัญชีและธุรกรรมการเงิน ค้นหาส่วนที่เกี่ยวข้องกับความผิด" เลขาธิการ สปสช.กล่าว
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ส่วนการขยายผลสุ่มตรวจหน่วยบริการเบิกจ่ายค่าบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคในกลุ่มของโรคเมตาบอลิก ครั้งที่ 1 จำนวน 86 แห่ง พบการเบิกจ่ายข้อมูลไม่ถูกต้อง 63 แห่ง สปสช.จึงขยายการตรวจสอบแบบ 100% พร้อมอายัดเอกสารการบริการและเบิกจ่ายของคลินิกทั้ง 63 แห่ง เมื่อวันที่ 20-24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้เอกสารมากกว่า 5 แสนฉบับ ขณะนี้ สปสช. ได้ระดมเจ้าหน้าที่เพื่อเร่งตรวจสอบแล้ว ทั้งนี้ต่อมา สปสช.ขยายผลตรวจสอบเพิ่มเติมครั้งที่ 2 พบเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นคลินิกทันตกรรม รวมเป็น 66 แห่ง เมื่อรวมกับการตรวจสอบที่พบก่อนหน้านี้ 20 แห่ง เท่ากับ สปสช.ตรวจสอบพบหน่วยบริการเบิกจ่ายข้อมูลเป็นเท็จทั้งสิ้น 86 แห่ง แยกเป็นโรงพยาบาลเอกชน 8 แห่ง , คลินิกเอกชน 73 แห่ง และคลินิกทันตกรรม 5 แห่ง ซึ่ง สปสช.จะนำเอกสารหลักฐานดังกล่าวยื่นต่อกองบังคับการปราบปรามและกรมสอบสวนคดีพิเศษต่อไป
"ในการตรวจสอบ สปสช.ได้ระดมเจ้าหน้าที่ สปสช.จากเขตต่างๆ กว่า 300 คน มาตรวจสอบเวชระเบียนหรือบันทึกการรักษาว่าตรงตามการรายงานในระบบหรือไม่ โดยได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องไม่มีวันหยุดราชการ ซึ่งมีเอกสารเกี่ยวข้องขณะนี้มีมากกว่า 7 แสนฉบับ ต้องใช้ระยะเวลาในกระบวนการตรวจสอบอย่างมาก" เลขาธิการ สปสช. กล่าว
ด้าน นพ.การุณย์ กล่าวถึงการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสัญญาคลินิกเอกชน 18 แห่ง ในระบบบัตรทองว่า สปสช.ได้จัดหาหน่วยบริการประจำแห่งใหม่ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ 9 กรกฎาคม 2563 และได้เข้าพบ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 เพื่อประสานความช่วยเหลือในการจัดหาหน่วยบริการรองรับประชาชน ซึ่งท่านยินดีให้ความช่วยเหลือเต็มที่ รวมถึงการดูแลประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากหน่วยบริการที่ สปสช.จะยกเลิกสัญญาเพิ่มเติมหากพบทุจริต ขณะเดียวกันได้ประสานไปยังกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆ ร่วมจัดหน่วยบริการรองรับประชาชนในส่วนนี้เช่นกัน โดยเป็นไปตามข้อหารือที่ได้จากการประชุมคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร (อปสข.กทม.)
สำหรับแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต สปสช.ได้วางระบบป้องกันก่อนการเบิกจ่ายและหลังการเบิกจ่าย โดยเมื่อเริ่มต้นบริการได้เพิ่มในเรื่อง Digital Identification เพื่อพิสูจน์ตัวตนผู้รับบริการก่อน เช่น เสียบบัตรสมาร์ทการ์ด หรือพิสูจน์ตัวตนออนไลน์ ให้ผู้รับบริการขอรหัสการบริการจาก สปสช. ยืนยันตัวเองก่อน ส่วนกรณีรายการที่มีค่าใช้จ่ายสูงจะมีกระบวนการ pre-authorization และ pre-audit รวมทั้งจะนำระบบ AI มาช่วยตรวจสอบ และเมื่อให้บริการแล้วหน่วยบริการจะส่งเอกสารหลักฐานเบิกจ่ายมาที่ สปสช.ซึ่ง สปสช.จะดำเนินการตรวจสอบตามระบบ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี