แจง7ข้อสั่งไม่ฟ้องคดี‘บอส’
อัยการถล่มตำรวจ
ยันพิจารณาไปตามสำนวน
ไร้ผลตรวจสอบสารเสพติด
เปิดทางให้กับญาติผู้เสียหาย
โชว์หลักฐานใหม่ขอรื้อคดี
ตร.ยังคาใจสอบทันตแพทย์
อัยการเต้นเปิด 7 ข้อ ที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง“บอส” เป็นไปตามพยานหลักฐาน เท่าที่ตำรวจส่งสำนวนมา ไม่มีประจักษ์พยาน เผยชัดเจนไม่มีผลตรวจสารเสพติดส่งมา พร้อมเปิดทางฝ่ายผู้เสียหายโชว์หลักฐานใหม่เพื่อรื้อคดีหรือยื่นฟ้องต่อศาลโดยตรงด้านฝ่ายตำรวจประชุมนัดที่ 4เรียกแพทย์สอบประเด็นพบโคเคนในเลือดทายยาสเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อดัง
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา น.ส.ณัฐวสา ฉัตรไพฑูรย์ อัยการพิเศษฝ่ายสถาบันกฎหมายอาญาได้ให้ความเห็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับ เกณฑ์การพิจารณาสั่งคดีอาญาของพนักงานอัยการ ในคดีทายาทเครื่องดื่มชูกำลังขับรถชนตำรวจเสียชีวิตมีข้อความว่า
1.เกณฑ์มาตรฐานที่พนักงานอัยการใช้ในการพิจารณาสั่งคดีคือคดีมีพยานหลักฐานพอฟ้องหรือไม่ คำว่า“ พยานหลักฐานพอฟ้อง” ไม่ใช่เรื่องความเชื่อหรือความรู้สึก แต่เป็นการตรวจดูจากในสำนวนการสอบสวนว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะนำไปพิสูจน์ให้ศาลลงโทษจำเลย (ผู้ต้องหา) ตามข้อกล่าวหานั้นหรือไม่
2.คดีนี้ไม่มีประจักษ์พยานในทางยืนยันการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหลักฐานสำคัญที่พนักงานสอบสวนใช้ในการดำเนินคดีอาญากับผู้ต้องหา ได้แก่ ภาพเคลื่อนไหวช่วงก่อนเกิดเหตุที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดประกอบกับคำให้การของเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของตำรวจที่คำนวณอัตราความเร็วของรถคันเกิดเหตุระยะครูดของรถจักรยานยนต์บนถนนและสภาพรถคันเกิดเหตุทั้งสองคันซึ่งเดิมเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของตำรวจที่คำนวณอัตราความเร็วของรถคันเกิดเหตุให้การว่าคำนวณอัตราความเร็วของรถยนต์คันเกิดเหตุได้ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ดังกล่าวให้การว่าตามที่คำนวณไว้เดิมเป็นการคำนวณผิดที่ถูกต้องคืออัตราความเร็วของรถยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุอยู่ที่ 79กิโลเมตรต่อชั่วโมงและปรากฏว่าจากการสอบสวนเพิ่มเติมอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนตร์และการพิสูจน์เหตุจากคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าฯยืนยันว่าจากการคำนวณตามหลักวิชาการโดยได้พิจารณาทั้งในเรื่องภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกจากกล้องวงจรปิด ระยะครูดของรถจักรยานยนต์บนถนนและสภาพรถคันเกิดเหตุทั้งสองคันอัตราความเร็วของรถยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุอยู่ที่ 79กิโลเมตรต่อชั่วโมงและสำนวนคดีไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาหักล้างการคำนวณของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองรายดังกล่าวพนักงานอัยการจึงย่อมต้องรับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามคำยืนยันของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวสำนวนคดีจึงไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันว่าผู้ต้องหาขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะเกิดเหตุ
ประจักษ์พยานในชั้นสอบสวน
3.ส่วนประจักษ์พยานสองคนซึ่งมาให้การในชั้นสอบสวนเพิ่มเติมโดยคณะกรรมาธิการของสนช. ร้องขอให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมนั้นนอกจากมีการสอบถามข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมาธิการ สนช. อันเป็นการกลั่นกรองมาในระดับหนึ่งและมีการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนซึ่งพยานทั้งสองคนมีตัวตนและที่อยู่เป็นหลักแหล่ง คนหนึ่งมียศพลอากาศโท ที่สำคัญคือพยานทั้งสองคนย่อมต้องรับผิดชอบตามกฎหมายอันมีโทษทางอาญา หากให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวนดังนั้นเมื่อคดีไม่มีพยานบุคคลอื่นใดที่รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุมาให้การเป็นอย่างอื่นและไม่มีพยานหลักฐานที่กล่าวอ้างหรือโต้แย้งว่าพยานทั้งสองคนดังกล่าวให้การเท็จจึงย่อมไม่มีเหตุผลที่พนักงานอัยการจะอนุมานเอาเองได้ว่าพยานทั้งสองคนดังกล่าวให้การเท็จหาก แต่พนักงานอัยการก็ย่อมต้องรับฟังเป็นพยานหลักฐานประกอบกันกับพยานหลักฐานอื่น ๆ ในสำนวนคดีและเมื่อพยานทั้งสองคนดังกล่าวต่างให้การว่าตนขับรถตามหลังรถยนต์ที่ผู้ต้องหาขับในช่วงเกิดเหตุในความเร็วระดับเดียวกันไม่เกิน 80กิโลเมตรต่อชั่วโมงและเห็นรถจักรยานยนต์ของผู้ตายขับตัดจากเลนที่หนึ่งจากซ้ายมือมาตัดหน้ารถยนต์ของผู้ต้องหาในเลนที่สามจากซ้ายมือในระยะกระชั้นชิดโดยไม่มีพยานหลักฐานในสำนวนหักล้างหรือโต้แย้งเป็นอย่างอื่นอีกทั้งยังสอดคล้องกับจุดชนที่อยู่เลนที่สามจากซ้ายมือและสอดคล้องกับคำให้การยืนยันของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองรายดังกล่าวคดีจึงไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟ้องพิสูจน์ให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตายตามข้อกล่าวหาได้ การสั่งไม่ฟ้องเพราะเหตุพยานหลักฐานไม่พอฟ้องจึงชอบด้วยเหตุผลและเกณฑ์การสั่งคดีอาญาแล้ว
4.แม้ว่าตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 74วรรคสองบัญญัติว่าในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หลบหนีไปหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สถานที่เกิดเหตุให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำความผิดก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นซึ่งจะต้องประกอบกับพยานหลักฐานอื่นโดยหากอาศัยลำพังข้อสันนิษฐานดังกล่าวเพียงอย่างเดียวแม้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อ้างเป็นเหตุในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นเหตุให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตายนั้นได้และเมื่อพยานหลักฐานอื่นในสำนวนการสอบสวนมีไม่เพียงพอที่จะฟ้องลำพังข้อสันนิษฐานดังกล่าวไม่ทำให้คดีมีพยานหลักฐานพอฟ้องในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตาย
ไม่มีเอกสารเกี่ยวกับสารเสพติด
5.ส่วนประเด็นที่ปรากฏตามข่าวว่ามีหนังสือของมหาวิทยาลัยมหิดลแจ้งพนักงานสอบสวนว่าตรวจพบสารเสพติดในร่างกายของผู้ต้องหานั้นไม่ปรากฏเอกสารหลักฐานดังกล่าวในสำนวนการสอบสวน แต่อย่างใดและไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาฐานเสพยาเสพติด แต่อย่างใดด้วย
6.อนึ่งการสั่งคดีของพนักงานอัยการเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวนซึ่งพนักงานสอบสวนเป็นผู้มีอำนาจสอบสวนและทำการสอบสวนโดยที่พนักงานอัยการไม่มีอำนาจสอบสวนตามกฎหมายและไม่อาจนำเอาข้อเท็จจริงจากสื่อสารมวลชนหรือจากแหล่งข้อเท็จจริงอื่นใดที่อยู่นอกสำนวนการสอบสวนมาใช้ในการสั่งคดีได้และแม้พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมก็ต้องเป็นเวลาภายหลังจากที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วและส่งเป็นสำนวนการสอบสวนมายังพนักงานอัยการ อีกทั้งการสั่งสอบสวนเพิ่มเติมในทางปฏิบัติย่อมต้องอยู่ในกรอบของข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นปรากฏในสำนวนการสอบสวนหรือจากประเด็นตามการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาในคดีพนักงานอัยการไม่มีอำนาจไปแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานใด ๆ ได้เอง
7.อย่างไรก็ดีแม้พนักงานอัยการได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องก็ไม่ตัดสิทธิของผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องต่อศาลเองนอกจากนี้ในกรณีที่ปรากฏพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ก็อาจมีการซื้อฟื้นคดีโดยพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนพยานหลักฐานใหม่เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหานั้นใหม่ได้ตามกฎหมาย
ตำรวจเรียกสอบแพทย์ปมโคเคน
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 10.15 น. พลตำรวจเอก ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานนะหัวหน้าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในคดีที่ ตำรวจไม่แย้งคำสั่งอัยการสูงสุด ที่สั่งไม่ฟ้องคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง ขับรถชนตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อปี 2555 เปิดเผยว่า วันนี้จะเน้นการตรวจสอบรายละเอียด ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนคดีของตำรวจ ซึ่งต้องมีการเรียกแพทย์ และพยานมาให้ปากคำอีกหลายปาก โดยเฉพาะในประเด็น พบสารโคเคนในเลือดของนายวรยุทธนั้น ต้องสอบสวนเพิ่มเติมเพราะเมื่อวานนี้ยังไม่ได้มีการเชิญแพทย์มาสอบปากคำแต่เป็นการแถลงข้อเท็จจริงตามคำให้การ และบันทึกการตรวจร่างกายในสำนวนเก่า ทั้งนี้หากพบพยานหลักฐานที่ชัดเจน และคดียังไม่หมดอายุความก็สามารถแจ้งข้อหาการเสพสารเสพติดเพิ่มเติมได้
ส่วนกรณีที่พนักงานสอบสวนไม่แจ้งข้อหาดังกล่าว ตั้งแต่ตรวจพบจนเกิดความล่าช้า ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกว่า ขณะนั้นพนักงานสอบสวน ใช้ดุลพินิจในการแจ้งข้อกล่าวหา แต่ยืนยันว่าข้อหาดังกล่าวยังสามารถดำเนินคดีได้ แต่คณะกรรมชุดนี้ ไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้ เพราะเป็นการสรุปข้อเท็จจริงเสนอ ต่อ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
สำหรับการแถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ ในประเด็นสารโคเคนในเลือดของ นายวรยุทธ เป็นข้อมูลที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดนี้สามารถตรวจสอบมาได้ และนำมาชี้แจง เท่านั้น ไม่ได้เป็นการเห็นแย้งกับคณะกรรมาธิการชุดใหญ่แต่อย่างใด
พลตำรวจเอก ศตวรรษ ยังระบุว่า คณะกรรมการจะพยายามตรวจสอบให้สร็จสิ้นภายในระยะเวลา 15 วัน ตามกรอบเวลา ที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนดไว้
ปชป.ยื่นขอสำนวนอัยการ
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงคดีที่อัยการไม่สั่งฟ้องคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยาว่า มีหลายประเด็นที่สังคมยังมีความเคลือบแคลงสงสัย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอตรวจสอบและขอดูคำวินิจฉัยรายละเอียดการพิจารณาสั่งคดีทั้งหมดจากอัยการสูงสุด เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ เพราะข้อมูลที่เป็นทางการจะเป็นความจริงตั้งต้นว่ามีส่วนไหนที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม และมีข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร ดุลพินิจในการพิจารณาสั่งคดีมีเหตุผลใด มีพยานปากไหนมารองรับหรือไม่ พนักงานสอบสวนตำรวจสอบพยานใครบ้าง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นข้อมูลสำคัญที่จะนำไปสู่การตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสได้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องอาศัย พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร ในการขอข้อมูลรายละเอียดในสำนวนจากอัยการสูงสุด โดยจะได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุดในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ เวลา 13.30 น. นำทีมโดยนายวิลาส จันทรพิทักษ์ อดีต ประธาน คณะ กมธ. ปปช.
นายราเมศกล่าวต่อว่า กระบวนการยุติธรรมมีหลายส่วนหลายองค์กร ทุกองค์กรมีทั้งคนดีและไม่ดี องค์กรตำรวจ องค์กรอัยการก็เช่นกัน คนดีก็มีอยู่มาก อย่าเหมารวมให้คนดีต้องเสียกำลังใจ แต่เมื่อมีคนไม่ดีเราก็ต้องช่วยกันตรวจสอบ เพื่อขจัดคนไม่ดีให้ออกไป และไม่อยากให้คิดกันว่าคุกมีไว้ขังคนจน แต่คุกมีไว้ขังผู้กระทำความผิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี