นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 เปิดเผยว่า ในปี 2563 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายปฏิรูปภาคเกษตรกรรมไทยมุ่งเน้นนำเทคโนโลยีเกษตร 4.0 มาช่วยสนับสนุนการพัฒนาการเกษตรมีการพัฒนาแปลงเรียนรู้และเกษตรแปลงใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยีด้านการเกษตรแม่นยำ เกษตรอัจฉริยะ หรือ Smart Agriculture และ IoT Platform ตลอดจนสนับสนุนจัดการการขนส่งภาคการเกษตรหรือโลจิสติกส์ อีกทั้งสนับสนุนให้เกิดการจำหน่ายสินค้าเกษตรผ่านระบบ E-commerce เพื่อให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายสินค้าเกษตรของตนได้โดยตรงไปยังผู้บริโภคผ่านแอพพลิเคชั่นออนไลน์ต่างๆ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้บูรณาการทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ภายใต้แนวทาง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” โดยมุ่งเน้นให้ผลิตผลทางการเกษตรจำหน่ายออกสู่ตลาดได้ทั้งภายในและต่างประเทศ นอกจากนั้นยังขับเคลื่อนงานธุรกิจเกษตร หรือ Agribusiness ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 ประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Big Data และ Gov Tech 2. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะ 3. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนE-Commerce และ 4. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจเกษตร
สำหรับคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะ มีหน้าที่ขับเคลื่อนการทำงานด้านเกษตรอัจฉริยะ รวมถึงการจัดทำแผนแม่บทเกษตรอัจฉริยะ โดยยกร่างแล้วเสร็จในเบื้องต้นตั้งแต่ปลายปี 2562 สาระสำคัญประกอบด้วย 6 แนวทางการพัฒนาเกษตรอัจฉริยะ คือ 1) การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ 2) การสร้างแปลงเรียนรู้ต้นแบบเกษตรอัจฉริยะ แปลงใหญ่เกษตรอัจฉริยะ3) การสร้างการรับรู้ เข้าถึง ใช้ประโยชน์ และการส่งเสริมขยายผลเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ 4) การพัฒนาการแปรรูปและการตลาดเกษตรอัจฉริยะ5) การส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อการบริหารจัดการเกษตรอัจฉริยะ และ 6) การพัฒนาบุคลากรและเครือข่ายด้านเกษตรอัจฉริยะ รวม 15 แผนงาน 58 โครงการ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อแผนเป็น “แผนปฏิบัติการเกษตรอัจฉริยะ” เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ โดยยังคงกรอบเดิมแต่มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนนโยบายเกษตร 4.0 ของกระทรวงซึ่งการจัดประชุมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของแผนปฏิบัติการเกษตรอัจฉริยะ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคเกษตรกร ร่วมประชุม ให้ข้อคิดเห็น และจัดทำข้อเสนอโครงการ ประกอบด้วยหน่วยงานหลัก 4 ด้าน คือ ด้านการวิจัย ด้านการส่งเสริมพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี ด้านงบประมาณ และด้านการพัฒนาเกษตรกร เป็นการวางรากฐานการเกษตรอัจฉริยะของประเทศอย่างเป็นระบบ โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการความร่วมมือในการขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะของประเทศไทยต่อไป
ดร.วราภรณ์ พรหมพจน์ ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากนโยบาย Thailand 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาลปี 2561-2580 ได้กำหนดให้มีแผนแม่บทด้านการเกษตรและแผนย่อยเกษตรอัจฉริยะ ภายใต้ยุทธศาสตร์ด้านการเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน ซึ่งกระทรวงเกษตรฯมีนโยบายการขับเคลื่อนงานด้านเกษตรอัจฉริยะมาตั้งแต่ปี 2560 ภายใต้การดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอัจฉริยะ ของกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งปัจจุบันคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะ ได้สานต่อการทำงานด้านเกษตรอัจฉริยะของกระทรวงเกษตรฯ ครอบคลุมการจัดทำแปลงเรียนรู้เกษตรอัจฉริยะการพัฒนาระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในเชิงการวิเคราะห์ เพื่อสนับสนุนระบบเกษตรอัจฉริยะ การพัฒนา IoT Platform การขยายผลแปลงใหญ่เกษตรอัจฉริยะ ตลอดจนการบูรณาการขับเคลื่อนงานร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม หรือ ศูนย์ AIC จังหวัด ทั้ง 77 จังหวัดซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการประมวลInnovation Catalog และ QuickWin ที่แต่ละศูนย์ AIC จะขับเคลื่อนดำเนินการ รวมถึงการทำงานร่วมหน่วยงานภายนอก เช่น ธ.ก.ส. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น ตลอดจนได้มีการจัดทำแผนแม่บทเกษตรอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี