วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วางเป้าหมายให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ยกระดับการผลิต การแปรรูป และตลาดยางพาราทั้งระบบให้ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยางพารา 20 ปี เป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของกยท. ภายใต้ผู้ว่าการคนใหม่ “นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท”
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในปัจจุบันทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว การใช้ยางพาราก็ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ราคายางยังทรงตัว โดยล่าสุด ราคากลางยางพารา ราคาประมูลแผ่นดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 51.80 บาท/กก. และยางแผ่นรมควันเฉลี่ยอยู่ที่ 54.49 บาท/กก. แต่จุดที่น่าสนใจคือ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยาง เช่น ถุงมือยาง ยางยืด เป็นต้น ในตลาดกลับมีความต้องการเพิ่มขึ้น
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการ กยท. มั่นใจว่า หลังวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นโอกาสดีของธุรกิจตลาดยางพารา เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป มีการใช้ถุงมือยาง หน้ากากอนามัย รวมทั้งในโรงพยาบาลก็มีแนวโน้มจะใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ยางพาราเป็นวัสดุหลักในการผลิตมากขึ้น ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมให้ตลาดผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพาราขยายตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้น กยท.จะเร่งเปิดและหาตลาดใหม่ๆ “สร้างวิกฤติให้เป็นโอกาส” พร้อมกับความพยายามในการดึงเกษตรกร สถาบันเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราซึ่งมีวัตถุดิบในมือเข้าร่วมธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการ (SMEs)หรือ Startups ด้วย
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยางที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 12-15% ในทุกปี มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 37,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้ผลิตถุงมือรายใหญ่ที่สุดของโลกครองส่วนแบ่งทางการตลาด 60% ประเทศไทยเป็นอันดับ 2 มีส่วนแบ่งทางการ 15% อย่างไรก็ตาม ล่าสุด กยท.ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “Hub of Natural Rubber Glove” โดยประกาศจุดยืน “ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตถุงมือยางธรรมชาติของโลก”
ผู้ว่าการ กยท.กล่าวว่า ปัญหาและอุปสรรคของอุตสาหกรรมถุงมือยางของไทยที่ผ่านมา มาจากหลายปัจจัย ส่วนใหญ่เป็นปัจจัยจากภายนอกประเทศโดยเฉพาะในเรื่องการแพ้โปรตีนในถุงมือยางธรรมชาติ ทำให้ประเทศผู้นำ เข้าถุงมือยางรายใหญ่ คือ สหรัฐอเมริกา อียู และญี่ปุ่น มีความกังวลจากการแพ้โปรตีนดังกล่าวหันไปใช้ถุงมือ ยางสังเคราะห์ ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของถุงมือยางสังเคราะห์มากกว่า 60% เหลือเป็นตลาดของถุงมือยางธรรมชาติไม่ถึง 40%
นอกจากนี้ ในเรื่องมาตรฐานถุงมือยาง สหรัฐอเมริกาได้กำหนดมาตรฐานที่เรียกว่า ASTM Standard ขึ้นมา ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกับมาตรฐาน ISO1993 ที่เป็นมาตรฐานสากลใช้กันส่วนใหญ่ทั่วโลก โดยมาตรฐาน ASTM ที่ใช้กับถุงมือผ่าตัดมีข้อกำหนดเรื่องคุณสมบัติของโปรตีน ในขณะที่มาตรฐาน ISO ไม่ได้มีการกำหนดปริมาณโปรตีนที่ทำให้เกิดอาการแพ้ รวมทั้งในการกำหนดคุณสมบัติของการดึง การยืด ที่เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพความทนทานของถุงมือยางก็แตกต่างกันด้วย ซึ่งถุงมือผ่าตัดที่ทำจากยางธรรมชาติ มีคุณสมบัติความยืดหยุ่นดีกว่า
ส่วนของปัจจัยภายในประเทศที่เป็นปัญหาและอุปสรรคคือ หน่วยงานภาครัฐ ยังไม่มีหน่วยงานใดเป็นผู้ดูแลอุตสาหกรรมถุงมือยางโดยตรง มีเพียงการกำกับ ควบคุมการประกอบธุรกิจถุงมือยางกับผู้ประกอบการไทยมากกว่าการส่งเสริม สนับสนุนเท่านั้น จะเห็นได้จากประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ห้ามผลิต นำเข้า หรือขายถุงมือสำหรับการศัลยกรรมชนิดมีแป้ง
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าการประกาศจุดยืนของ กยท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่จะร่วมกันผลักดันให้ “ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตถุงมือยางธรรมชาติของโลก”นั้น จะเป็นไปไม่ได้ มีในทางตรงข้ามกลับโอกาสสูงที่เป้าหมายดังกล่าวจะประสบผลสำเร็จ
“หากต้องการให้ถุงมือยางเป็นผลิตภัณฑ์หลักของประเทศไทยรัฐบาลจะตัองจัดทำนโยบาย เป้าหมาย และพันธกิจอย่างชัดเจนจะต้องมีหน่วยงานที่กำกับดูแลอุตสาหกรรมแปรรูปยางโดยตรง ตั้งเป้าหมายให้ถุงมือเป็น Product Champion และมีการจ้าง lobbyist ในสหรัฐอเมริกา เพื่อพัฒนาช่องทางการตลาดของอุตสาหกรรมนี้ พร้อมทั้งจะต้องสนับสนุนเงินทุนในการสร้างโรงงาน เนื่องจากอุตสาหกรรมถุงมือยางเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนมหาศาล” ผู้ว่าการ กยท.กล่าว
นอกจากนี้จะต้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ ผลการวิจัยถุงมือยางธรรมชาติสามารถลดค่าโปรตีนได้ และได้ตามค่ามาตรฐานที่กำหนดทั้งในระดับวัตถุดิบ และในระดับกระบวนการผลิต โดยได้มีการตรวจสอบผ่านมาตรฐาน ASTM เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และนักลงทุนในต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติของประเทศไทย พร้อมทั้งจะต้องเร่งวิจัยและพัฒนาลดต้นทุนการผลิตถุงมือยางธรรมชาติ เพื่อให้สามารถแข่งขันกันถุงมือยางสังเคราะห์ ซึ่งถุงมือยางธรรมชาติของไทยเมื่อสามารถควบคุมปริมาณโปรตีนได้แล้ว จะมีข้อได้เปรียบในเรื่องความยืดหยุ่น ที่ความทนทานต่อการดึง ขาดยาก ในขณะที่ถุงมือยางสังเคราะห์ไม่สามารถทำได้ ถือเป็นจุดแข็งของถุงมือยางธรรมชาติของไทย ดังนั้น ถุงมือยางธรรมชาติของไทย สามารถที่เข้าไปตีตลาดถุงมือยางสังเคราะห์ในสหรัฐอเมริกาและอียู ซึ่งเป็นประเทศผู้ใช้รายใหญ่ของโลกได้ รวมทั้งยังมีประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศที่มีความต้องการใช้ถุงมือยางธรรมชาติ
ผู้ว่าการ กยท. กล่าวด้วยว่า การประกาศจุดยืนของ กยท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ(MTEC) สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่จะร่วมกันบูรณาการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “Hub of Natural Rubber Glove” นั้นจะทำให้เกิดพัฒนาอุตสาหกรรมยางทั้งระบบอย่างยั่งยืน โดย BOI จะการหาแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในกิจการยางพารา เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบกิจการยาง และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ทั้งด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกด้านการลงทุน และด้านการบริการสนับสนุนธุรกิจผ่านมาตรการต่างๆ ได้แก่ มาตรการเรื่องของการลดหย่อนภาษี มาตรการลดหย่อนภาษีนำเข้า กิจกรรมส่งเสริมการลงทุน การยกเว้นอากรวัตถุดิบเพื่อการวิจัยพัฒนา และการพัฒนามาตรฐานการผลิตต่างๆ
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จะผลักดันเรื่องการตลาด การลงทุน และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผลิตภัณฑ์ยางของไทย โดยจัดกิจรรมส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยผ่านกิจกรรมจับคู่ ธุรกิจออนไลน์ ระหว่างผู้ค้าและผู้ซื้อถุงมือยางการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และนักลงทุนในต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติของประเทศไทยภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ในขณะที่ MTEC จะประชาสัมพันธ์ผลการวิจัยสามารถลดปริมาณโปรตีนที่ละลายน้ำในถุงมือยางธรรมชาติได้ต่ำกว่า 200 ไมโครแกรม ตามมาตรฐานที่ ASTM กำหนด โดยคุณสมบัติทางการภาพยังคงเหมือนเดิมขณะนี้ การวิจัยดังกล่าวผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการแล้ว จึงเชื่อว่าถุงมือยางของประเทศไทยมีความปลอดภัยและสามารถส่งออกไปทั่วโลก และแข่งขันกับถุงมือยางสังเคราะห์ได้
ส่วนสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย ในฐานะกลุ่มผู้ผลิตถุงมือยาง ก็ประกาศพร้อมที่ขยายการผลิต โดยการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อจะนำวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากเกษตรกรชาวสวนยาง มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติ แม้ในปัจจุบันถุงมือธรรมชาติจะมีสัดส่วนการใช้ไม่ถึง 40 % แต่ก็จะเป็นโอกาสของประเทศไทย ในการเป็นศูนย์กลางถุงมือยางธรรมชาติของโลกในอนาคต ซึ่งมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ข้อเสนอแนะว่า ประเทศไทยควรทำการตลาดด้านถุงมือยางธรรมชาติ ส่งเสริมเกษตรกรไทย โดยให้ทางรัฐบาลใช้น้ำยางพาราของไทย ซึ่งถือเป็นเบอร์หนึ่งของการส่งออก นำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางพาราแท้ 100 % รวมถึงสร้าง Presenter ที่มีความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่น พร้อมทั้งใช้ PR Marketingให้ถุงมือยางพาราจากประเทศไทย เป็นแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือสร้างความโดดเด่นของถุงมือยางพาราในวิกฤตการณ์ COVID-19 สื่อสารให้เกิดการรับรู้ถึงประโยชน์ คุณสมบัติ ข้อดี ของถุงมือยางพาราธรรมชาติ
ถ้าทุกหน่วยงานร่วมบูรณาการพลิกวิกฤติโควิด-19 เป็นโอกาสผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “Hub of Natural RubberGlove” หรือ “เป็นศูนย์กลางการผลิตถุงมือยางธรรมชาติของโลก” ไม่ไกลเกินฝัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี