นางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)เปิดเผยว่า ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้เป็นหนึ่งในสินค้าข้าวที่ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications: GI) เมื่อปี 2549 ซึ่งการผลิตสินค้าข้าว GI ในแหล่งภูมิศาสตร์ที่ขึ้นทะเบียน เป็นการสร้างสินค้าข้าวที่มีเอกลักษณ์ต่างจากแหล่งผลิตอื่น นับเป็นโอกาสทางการค้า การตลาด รวมถึงยกระดับสินค้าชุมชนให้เป็นสินค้าข้าวคุณภาพที่ได้มาตรฐานการผลิต สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคด้านคุณภาพและความปลอดภัย เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน รวมถึงสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการท้องถิ่น และที่สำคัญเป็นการสร้างความภาคภูมิใจในทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น รักษาภูมิปัญญาดั้งเดิม และสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน
ปัจจุบัน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพาะปลูกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ใน 5 จังหวัด ได้แก่ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และยโสธร (ข้อมูลจากสํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดร้อยเอ็ด) มีพื้นที่เพาะปลูกรวมกันประมาณ 2,707,390 ไร่ โดยปี 2562 จ.ร้อยเอ็ดมีเนื้อที่เพาะปลูกมากที่สุดประมาณ 826,724 ไร่ ให้ผลผลิตรวม 276,953 ตันมีพื้นที่เพาะปลูก 5 อำเภอ ได้แก่ เกษตรวิสัย สุวรรณภูมิ หนองฮี ปทุมรัตน์ และโพนทราย
สศก.โดย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 4 จังหวัดขอนแก่น (สศท.4) ได้ศึกษาแนวทางพัฒนาสินค้าเกษตรที่ได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ กรณีศึกษาข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ จ.ร้อยเอ็ด โดยผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่า ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 4,449 บาท/ไร่ ช่วงการเพาะปลูกระหว่างเดือน เมษายน -สิงหาคม ระยะเวลาเก็บเกี่ยวระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม ให้ผลผลิตเฉลี่ย 360 กิโลกรัม/ไร่ เกษตรกรได้ผลตอบแทน 5,125 บาท/ไร่ คิดเป็นผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย (กำไร) 676 บาท/ไร่ โดยเกษตรกรส่งขายข้าวเปลือกให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 14.23 บาท/กิโลกรัม และในส่วนแปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุง (ขนาดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม) ราคาเฉลี่ย 40-45 บาท/ถุง และข้าวกล้องบรรจุถุงสุญญากาศ ราคาเฉลี่ย 60-75 บาท/ถุง
สำหรับสถานการณ์ด้านตลาด พบว่า เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกข้าวหอมมะลิ GI มีตลาดรองรับผลผลิตที่ชัดเจน รวมถึงยังเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ ตลาด modern trade การออกบูธ งานแสดงสินค้าและงานสำคัญของจังหวัด โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้บริโภคที่ใส่ใจด้านสุขภาพ ซึ่งผู้ประกอบการหรือกลุ่มเกษตรกรสามารถขายสินค้าเกรดพรีเมียมได้ในราคาที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากขายในลักษณะของฝาก ของที่ระลึก ขณะเดียวกันผู้บริโภคยังมั่นใจเรื่องการผลิตของข้าวหอมมะลิ GI ได้แน่นอนเพราะในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มีการดูแลจากเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะปลูกเป็นอย่างดี ตั้งแต่กระบวนการคัดเมล็ดพันธุ์ที่ต้องมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ การดูแลรักษาไปจนถึงแปรรูป
ด้านนายฉกาจ ฉันทจิระวัฒน์ผู้อำนวยการ สศท.4 กล่าวเสริมว่า สำหรับผลศึกษาดังกล่าว สศท.4 จัด focus group เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และนำเสนอผลการศึกษาต่อคณะกรรมการพิจารณาโครงการวิจัยและประเมินผล ภายในวันที่ 16-17 กันยายน ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าว นอกจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นแนวทางกำหนดนโยบายมาตรการสนับสนุนการผลิตสินค้า GI แล้ว ยังนำไปช่วยเกษตรกรบริหารจัดการต้นทุนให้เหมาะสม เกษตรกรมีอำนาจต่อรองในการจัดซื้อวัตถุดิบ ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการ/โรงสี ยังได้รับเมล็ดข้าวที่มีคุณภาพ ตรงตามมาตรฐาน GI มีช่องทางจำหน่าย และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปแล้ว (ข้าวสาร และผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น) ได้ราคาสูงกว่าข้าวที่ไม่ได้ตรารับรอง GI ทั้งนี้ เกษตรกรที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ สศท.4 โทร. 0-4326-1513 ต่อ 17 หรืออีเมล zone4@oae.go.th
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี