แม้อารยธรรมของมนุษยชาติจะมีช่วงเวลาหลักพันถึงหลักหมื่นปีแต่ช่วงที่มีความเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเมื่อราว 200 ปีล่าสุดที่ผ่านมา เมื่อมนุษย์เข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เริ่มรู้จักประดิษฐ์เครื่องจักรมา พร้อมๆ กับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่กระตุ้นทั้งการผลิตและการบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้านหนึ่งทำให้ชีวิตมนุษย์สะดวกสบายขึ้นจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง แต่อีกด้านหนึ่งก็ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโลกอย่างมากเช่นกัน
“โลกร้อน (Global Warming)”และ “ความเปลี่ยนของสภาพอากาศ (Climate Change)” กลายเป็นคำที่คนในยุคปัจจุบันคุ้นชิน พร้อมกับมีรายงานข่าวเป็นระยะๆ เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกละลายจนระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาแผ่นดินถูกน้ำทะเลรุกคืบเข้ามา รวมถึงที่มีการเปิดเผยรายงาน“ทะเบียนภัยคุกคามทางนิเวศวิทยา”จัดทำโดย สถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ (IEP) เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ระบุว่า ในปี 2593 ประชากร 1.2 พันล้านคน ทั่วโลกจะไม่อาจอยู่อาศัย ณ ถิ่นฐานเดิมได้อีกต่อไป
เมื่อเร็วๆ นี้ มีงานเสวนาเรื่อง“ถอดรหัสเศรษฐกิจสีน้ำเงิน : ทะเลไทยในมือคนรุ่นใหม่” จัดโดยศูนย์วิจัยดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ Blue Economy ประเทศไทย ซึ่ง วรรณพร แซ่ตั้ง รองประธานชุมนุมอนุรักษ์ธรรมศาสตร์และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าว่าเริ่มสนใจด้านสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย โดยสนใจเกี่ยวกับป่า ซึ่งมีต้นแบบจากมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร
จากนั้นเมื่อเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยจึงมีโอกาสทำชุมนุมอนุรักษ์ธรรมชาติ ได้มองเห็นประเด็นเกี่ยวกับป่าต้นน้ำของไทยและกลายเป็นกระบอกเสียงในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมยังมีการจัดกิจกรรมเข้าค่ายอนุรักษ์ป่าทำงานร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ทั้งนี้ ข้อค้นพบหลังได้ทำงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังคือ “การอนุรักษ์ทะเลเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก” เนื่องจากยังขาดการดำเนินการที่ดีนักท่องเที่ยวหรือผู้ประกอบกิจการต่างๆ ที่ใช้ประโยชน์จากทะเลจนทำให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรมลง และภาครัฐก็ขาดการดูแลอย่างเข้าถึง
“มาเรียมซึ่งเป็นพะยูนเกยตื้นแล้วนำมาอนุบาลที่ จ.ตรัง เป็นข่าวที่สังคมสนใจมาก แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ใช้กระแสข่าวเข้ามาดูแล ทำให้ไม่เห็นว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับระบบนิเวศทางทะเลที่ทำให้พะยูนมาเรียมตาย ซึ่งคนเราไม่ค่อยตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมทางทะเลเท่าที่ควร นอกจากนี้แล้วประเด็นท้าทายที่ทำให้เยาวชนรุ่นใหม่มาให้ความสำคัญ คือต้องทำให้เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ฝุ่น PM2.5 ซึ่งได้รับผลกระทบกันทุกคน จึงทำให้ทุกคนเห็นความสำคัญและหาทางแก้ปัญหา”วรรณพร ยกตัวอย่าง
ขณะที่ ปุณยภา วิศวกรวิศิษฎ์ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโครงการ YoutEN ระบุว่า แม้จะทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมมาแล้วระยะหนึ่งและเกิดผลดีต่อสังคมไทยแต่ก็ไม่เกิดการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง “หากขาดการออกนโยบายและการบังคับใช้กฎหมายจากภาครัฐย่อมไม่อาจควบคุมการดำเนินการของภาคธุรกิจ” จึงทำได้เพียงแค่สร้างพื้นที่ให้กับเยาวชนได้พูดแสดงออกด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
เช่นเดียวกัน “แม้ประเทศไทยจะมีแผนการอนุรักษ์ธรรมชาติที่สังคมโลกยอมรับ แต่ก็โดยที่ไม่มีจุดประสงค์ในการทำ มีแผนไว้เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น ราวกับว่าหากต่างชาติมีไทยก็ต้องมีบ้าง” อย่างไรก็ตาม “ประเทศที่ใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมมักเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นข้อจำกัดของประเทศไทย เนื่องจากสังคมไทยนั้นปัญหาเศรษฐกิจปากท้องยังเป็นเรื่องสำคัญกว่า”จึงเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของทั้งภาครัฐและภาคส่วนอื่นๆ ในการขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าว
“ผลสำรวจพบเยาวชนให้ความสำคัญ รับรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ แต่ด้วยการขาดผู้สนับสนุน เช่น ภาคธุรกิจนอกจากนี้แล้วเรื่องของความเชื่อมโยงในเรื่องต่างๆ เป็นสิ่งที่สำคัญ เห็นได้จากเมื่อทิ้งขยะลงถังแล้วจะไปไหนต่อ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยนึกถึงเรื่องความเชื่อมโยง เพราะไม่เคยเห็นวงจรทั้งหมดที่ทำว่า จะมีผลกระทบมากน้อยเพียงใด” ปุณยภา ระบุ
ด้าน มารี เคดารี ผู้ร่วมก่อตั้งและ Innovation Coordinator ของ Thailand Climate CoLab กล่าวว่าปัจจุบันยังเห็นได้ว่าในประเทศไทยยังมีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้เห็นหรือแม้แต่อาจจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นซึ่ง “อุปสรรคในการทำงาน” มี 2 อย่างคือ 1.การที่ไทยมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก จึงทำให้คนไทยละเลยเรื่องของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และขาดการดูแลทรัพยากรที่มีอยู่ ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงปลายทางอย่างทะเล กับ 2.ความต้องการที่จะพัฒนาหลายๆ อย่าง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม
พุทธิศักดิ์ พนมสารนรินทร์ผู้ก่อตั้ง Thailand Clomate CoLab และเยาวชนผู้แทนประเทศไทยที่ได้เข้าร่วมการประชุม COP24 (UNFCCC) กล่าวว่า เป้าหมายของตนคือมี “การทำให้การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องไม่น่าเบื่อ” โดยมุ่งเน้นในการเข้าถึงในทุกจุดในชุมชน “การทำงานด้านสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะ” หมายถึงเป็นการต่อสู้กับหลายๆ อย่าง เช่น ความเป็นมนุษย์ ระบบทุนนิยม เป็นต้น ทรัพยากรถูกใช้เพื่อความอยู่รอด จึงทำได้เพียงชะลอผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้แล้ว “สิ่งที่ต้องทำควบคู่กับการอนุรักษ์ คือความเป็นมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมจะต้องควบคู่กันไปให้ได้ และจะต้องไม่ล้ำเส้นมากเกินไป ดังนั้นความคาดหวังให้บรรลุเป้าหมาย 100 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นไปไม่ได้” หลายประเทศในโลกยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างแท้จริง เพียงแต่นโยบายที่ออกมาทำให้มนุษย์กับสิ่งแวดล้อมยังสามารถอยู่ร่วมกันได้เท่านั้น
“หน่วยงานของไทยเองก็ทำงานอย่างหนักเช่นกันในการผลักดันการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ผลตอบรับไม่ดีเท่าที่ควรเนื่องจากนิสัยของคนไทย และนโยบายในการลงมือทำไม่ตอบโจทย์กับคนไทยเท่าที่ควร ซึ่งเวลาทำจะต้องตอบโจทย์ผู้ใช้จริงด้วย ส่วนกฎหมายในการบังคับใช้ยังมีจุดอ่อนในการที่บังคับใช้เฉพาะกลุ่มเท่านั้น ซึ่งสำคัญที่จะทำให้เรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่อย่างยั่งยืนก็คือ จะต้องควบคู่กับเรื่องปากท้องของคนไทยด้วย และจะต้องไม่มองว่าเป็นเทรนด์ใหม่ตามกระแส”พุทธิศักดิ์ กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี