เปิด 1,000 คู่สาย บริการประชาชนเกี่ยวกับข้อสงสัยเรื่องสิทธิบัตรทองหลังยกเลิกสัญญากับ 64 โรงพยาบาลและคลินิกชุมชนอบอุ่น“อนุทิน”ลั่นต้องไม่เก็บเงินจากประชาชนที่ติดต่อขอรับประวัติการรักษา เวชระเบียน เพื่อย้ายไปสถานพยาบาลใหม่ ด้าน
สปสช.ย้ำผู้ได้รับผลกระทบ ไม่ต้องกลับไปขอเวชระเบียนจากหน่วยบริการเดิม ขณะที่ ผู้ว่าฯ กทม.ยืนยัน9รพ.เมืองหลวง พร้อมให้บริการผู้ป่วยบัตรทอง
เมื่อวันที่ 24กันยายน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยกเลิกสัญญากับโรงพยาบาลและคลินิกชุมชนอบอุ่นในกรุงเทพฯ รวม 82 แห่ง เนื่องจากตรวจพบการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลผิดปกติ แต่กระทบการให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนกว่า 1 ล้านคน ว่า ได้รับการยืนยันจาก นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ที่ดูแล รพ.เอกชน ว่า ขณะนี้ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากประชาชนที่ติดต่อขอรับประวัติการรักษา เวชระเบียน เพื่อย้ายไปสถานพยาบาลแห่งใหม่
“โดยหลักการเรื่องนี้เป็นความผิดพลาดจาก สปสช. ดังนั้น หากเกิดค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม สปสช.ต้องรับผิดชอบ ซึ่งต้องนำหลักการนี้เข้าสู่ที่ประชุม เพราะประชาชนไม่ได้ผิดอะไร แต่ต้องเข้าใจนิดหนึ่งว่า หากมีการทุจริตเกิดขึ้น สปสช.เป็นหน่วยงานรัฐ หาก สปสช.ยังให้ผู้ผิดสัญญาทำนิติกรรมต่อ ก็จะผิดหลักการ” นายอนุทิน กล่าวและว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน ในที่ประชุม บอร์ด สปสช. ได้เน้นย้ำเรื่องระเบียบที่ชัดเจนในการให้บริการประชาชน และขณะนี้ก็มีคลินิกเข้ามาอยู่เรื่อยๆ
นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. ยืนยันว่า ประชาชนไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปขอประวัติการรักษาจากหน่วยบริการเดิม โดยเมื่อผู้รับบริการไปใช้สิทธิบัตรทองที่หน่วยบริการแห่งใหม่ให้นำบัตรประชาชนไปด้วยทุกครั้ง เนื่องจากทางหน่วยบริการสามารถเข้าถึงข้อมูลการรักษาเพื่อการดูแลต่อเนื่อง ขอย้ำว่าผู้ป่วยไม่มีความจำเป็นต้องเสียเงินค่าเวชระเบียนอีก เช่น หากยาหมด ก็สามารถไปที่ศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. หรือโรงพยาบาลรัฐ/เอกชน ที่ยังทำงานกับ สปสช. ได้เลย หน่วยบริการจะทราบอยู่แล้วว่าสามารถเรียกดูข้อมูลการรักษาได้
ด้าน ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ขณะนี้แนวทางแก้ไขที่ สปสช.เร่งดำเนินการ คือ เตรียมเพิ่มคู่สายในเบอร์สายด่วน 1330 จากเดิม 60 คู่สาย เป็น 1,000 คู่สาย ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบระบบ ส่วนใหญ่พบเป็นคำถามซ้ำๆ เพราะประชาชนตกใจที่มีการยกเลิกสัญญากับคลินิก สปสช.จึงต้องเร่งประชาสัมพันธ์ทั้งทางออนไลน์ วิทยุ และสื่ออื่นๆ เพื่อให้ประชาชนทราบข้อมูล โดยพบว่า 800,000 สาย เกิดจากความสงสัย จึงโทร.เข้ามา แต่ในจำนวนนี้ มีราว 700,000 สาย ไม่ใช่ผู้ได้รับผลกระทบ แต่กลัวเสียสิทธิ จึงโทรมาขอลงทะเบียนสิทธิ ขอเรียนว่า ไม่ต้องกังวล สิทธิบัตรทองยังอยู่เช่นเดิม ฉะนั้นขอให้ใจเย็นๆ สิ่งสำคัญคือ ต้องแก้ไขปัญหาในผู้ป่วยเร่งด่วนก่อน
พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า กทม.ได้มอบหมาย สำนักการแพทย์ จัดเตรียมสำรองเวชภัณฑ์ ยา และบุคลากร พร้อมให้การรักษาตามสิทธิ์ของประชาชนซึ่งได้ผลกระทบดังกล่าว ทั้งนี้ ประชาชนยังมีสถานะเป็นสิทธิบัตรหลักประกันสุขภาพแต่เป็นสถานะสิทธิ์ว่าง หมายถึงหากเจ็บป่วยสามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการของระบบหลักประกันสุขภาพ ได้ทั้งของรัฐและเอกชนที่ใดก็ได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะหน่วยบริการจะเบิกค่าใช้มายัง สปสช.ตามขั้นตอน
“ประชาชนสามารถเข้าใช้บริการตามสิทธิ์การรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่องได้ที่โรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์ ทั้ง 9 แห่ง ได้แก่ รพ.กลาง รพ.ตากสิน รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ รพ.หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ รพ.เวชการุณย์รัศมิ์ รพ.ลาดกระบังกรุงเทพมหานคร รพ.ราชพิพัฒน์ รพ.สิรินธร และ รพ.ผู้สูงอายุบางขุนเทียน” พล.ต.อ.อัศวิน กล่าว
ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบสิทธิการรักษา และเลือกรับสิทธ์สถานพยาบาล โดยสามารถลงทะเบียนออนไลน์ด้วยตนเองผ่านทางไลน์ (@ucbkk) ระบบอัตโนมัติทางไลน์ (@nhso) หรือ แอพพลิเคชั่น สปสช. (https://lin.ee/mLvmHpQ) หรือดาวน์โหลดแอพพ์ฯ สปสช. http://onelink.to/ucbkkpp โทร.สายด่วน สปสช.1330 ตลอด 24ชั่วโมง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี