การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบภาวะเศรษฐกิจโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย ธนาคารโลกได้คาดว่า ปีนี้ GDP ของประเทศจะลดลงอย่างน้อย 5% อย่างไรก็ดี ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเทศที่ควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไทย ยางพาราพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 เช่นกัน ส่งผลให้ราคาลดลงในช่วงที่เกิดการระบาดใหม่ๆ แต่เมื่อการระบาดยังไม่มีท่าทีลดลง มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง หลายประเทศเกิดการระบาดซ้ำเติมระลอกที่ 2 ที่ 3 สถานการณ์ราคายางกลับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนมีนาคม 2563 น้ำยางสดลดลงไปต่ำสุดเหลือเพียง 35 บาทต่อกิโลกรัม ยางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 39 บาทต่อกิโลกรัม และทรงตัวอยู่ในระดับราคานี้นานพอสมควร จากนั้นก็ค่อยๆขยับราคาขึ้น ล่าสุด ณ วันที่ 21 กันยายน 2563 น้ำยางสดราคา 47 บาทต่อกิโลกรัม ยางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 58 บาทต่อกิโลกรัม
สาเหตุที่ราคายางเพิ่มขึ้นมาจากปัจจัยอะไร และแนวโน้มอย่างไร?
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้วิเคราะห์สถานการณ์ราคายางขณะนี้ว่า การระบาดของโควิด-19 ทำเกิดกระแส New Normal คนหันมาตระหนักและใส่ใจเรื่องสุขอนามัยมากขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่แปรรูปมาจากยางธรรมชาติมีความต้องการมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นถุงมือยาง หรือหน้ากากอนามัยที่มีส่วนผสมของยาง เพื่อนำไปใช้ในวงการแพทย์และใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะถุงมือยางธรรมชาติที่มีอัตราความต้องการใช้สูงขึ้นเป็นทวีคูณ โดยช่วงก่อนมีการระบาด มูลค่าการส่งออกถุงมือยางประมาณ 37,000 ล้านบาทต่อปี แต่ปัจจุบันเป็นไปได้ที่มูลค่าส่งออกจะเพิ่มถึง 50,000 ล้านบาทต่อปี
อีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้ราคายางเพิ่มสูงขึ้นคือ จีน ซึ่งเป็นตลาดผู้รับซื้อยางแผ่นดิบรมควันรายใหญ่ที่สุดจากประเทศไทย ซึ่งมีสัดส่วนถึง 60% ของการส่งออก ได้มีมาตรการส่งเสริมการขยายกำลังการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เพื่อตอบโจทย์การใช้รถยนต์ส่วนตัวแทนการใช้รถยนต์สาธารณะ ซึ่งจะช่วยลดแพร่เชื้อโควิด-19 ทำให้การใช้รถยนต์ส่วนบุคคลของจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่า เมื่อยอดการผลิตรถยนต์ของจีนเพิ่มขึ้น ความต้องการใช้ยางแผ่นรมควัน เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตล้อยางรถก็เพิ่มขึ้นด้วย จะเห็นได้ชัดจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers’ Index : PMI) ของจีนปรับจาก 52.8 เป็น 53.1 รวมทั้ง GDP ของจีนยังเพิ่มขึ้น +3.2% อีกด้วย ขณะที่ประเทศอื่นในโลกยังติดลบ นั้นหมายความว่าจีนฟื้นตัวกลับมาเดินเครื่องผลิตได้ 100% แล้ว ซึ่งส่งผลดีต่อราคายางในตลาดโลกที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต
แม้ว่าสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐอมริกาและยุโรปยังรุนแรงเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวก็ตาม แต่มีกระทบต่อราคายางของไทยไม่มากเท่ากับจีน ดังนั้น เมื่อจีนฟื้นได้เร็ว ราคายางไทยจากที่ตกต่ำจึงฟื้นตัวตามตลาดจีน ขณะเดียวกันรัฐบาลยังมีมาตรการส่งเสริมใช้ยางแผ่นดิบรมควันในประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้ ปัจจุบันจำนวนผู้สูงอายุมีมากขึ้น ทำให้ต้องการใช้อุปกรณ์เสริมสร้างความปลอดภัยในชีวิตประจำวันที่ใช้น้ำยางเป็นวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นยางรองกันลื่นรองเท้ากันลื่น อุปกรณ์ช่วยหายใจ สายน้ำเกลือเพิ่มขึ้น ดังนั้น ความต้องการใช้ยางธรรมชาติเป็นวัตถุดิบแปรรูปจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกันและยังส่งผลให้มีนักลงทุนจำนวนมากสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปอุปกรณ์ดังกล่าวอีกด้วย
ในเรื่อง Demand และ Supply ก็มีผลเช่นกัน ขณะนี้แนวโน้มความต้องการ หรือ Demand ใช้ยางเริ่มเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณยางหรือ Supply กลับลดลง สต๊อกยางหดหายเพราะเข้าสู่ฤดูฝน ประกอบกับแรงงานกรีดยาง ซึ่งปัจจุบันจะใช้แรงงานสัญชาติเมียนมาเป็นหลัก ไม่สามารถเดินทางมารับจ้างกรีดยางได้ เพราะการระบาดของโควิด-19 ทำให้ปริมาณยางเข้าสู่ตลาดน้อยลง สต๊อกยางถูกออกนำมาใช้จนแทบไม่มีสต๊อกแล้วในขณะนี้ ดังนั้น เมื่อ Demand มีมากกว่า Supply ราคายางจึงค่อยๆเพิ่มขึ้น
“หลังเกิดวิกฤติการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางธรรมชาติมีอัตราเติบโตสูงขึ้น ส่งผลต่อเนื่องให้ราคายางที่ใช้เป็นวัตถุดิบเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพด้วย คาดว่า ปีนี้มูลค่าส่งออกยางของไทยจะสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และในอนาคตมูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมยางจะเพิ่มขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมผลิตถุงมือยางธรรมชาติที่มียอดสั่งซื้อสูงไปจนถึงปีหน้า ดังนั้น ทิศทางราคายางค่อนข้างมั่นใจได้ว่ามีแนวโน้มที่ดี ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อชาวสวนยางโดยตรง และ กยท.จะยังเดินหน้าสนับสนุนอุตสาหกรรมยางทั้งระบบ เพื่อมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศ และผลักดันให้อุตสาหกรรมยางในประเทศไทยเข้มแข็งอย่างยั่งยืน” นายณกรณ์กล่าว
ผู้ว่าการ กยท. มั่นใจว่า การระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้ จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสผลักดันประเทศไทยก้าวสู่ประเทศศูนย์กลาง การพัฒนาอุตสาหกรรมยางธรรมชาติได้ ทั้งนี้ กยท.วางแผนเตรียมจัดพื้นที่ที่จะใช้ศูนย์กลางการพัฒนาอุตสาหกรรมยางทั้งระบบ ตั้งแต่พื้นที่แปลงปลูกที่ให้ผลผลิตระดับมาตรฐานโลกพื้นที่สำหรับโรงงานแปรรูป ระบบขนส่งรวมถึงพื้นที่กิจกรรมส่งเสริมด้านการตลาดซึ่งกยท.จะเป็นตัวแทนเจรจาค้าขาย หรือร่วมลงทุน ตามกฎหมายกำหนด โดยมุ่งเป้าให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรและประเทศชาติ สำหรับพื้นที่เหมาะสมนั้นมีหลายพื้นที่ แต่ที่มีความเป็นไปได้สูงคือ พื้นที่ของ กยท.ที่ ต.ช้างกลาง อ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช กว่า 10,000 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่สีม่วง (พื้นที่เหมาะสมสำหรับการตั้งโรงงานอุตสาหกรรม) และเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพความพร้อมและความเหมาะสมสูง
ทั้งนี้ กยท.ตั้งเป้าผลักดันศูนย์ดังกล่าวให้เป็นศูนย์กลางการแปรรูปน้ำยางธรรมชาติให้เป็นผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมที่ตลาดต้องการ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการแพทย์ ที่ตลาดต้องการมากในขณะนี้ ตลอดจนเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้ยางพารา ด้วยมุ่งหวังให้เกิดการเพิ่มปริมาณการใช้ยางและไม้ยางพาราภายในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะทำให้ราคายางมีการปรับตัวขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ เกิดความมั่นคงต่ออาชีพเกษตรกรชาวสวนยาง รวมถึงจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงอีกด้วย
ถึงเวลาที่ยางพาราของไทยจะฟื้นตัว เกษตรกรมีความมั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืน เสียที...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี