คดีน้องชมพู่ปิดไม่ลง
ผบ.ตร.ชี้มีคนทำให้เสียชีวิต
แต่พยานหลักฐานยังไม่ชัด
ผบ.ตร.ตั้งโต๊ะ แถลงสรุปคดี “น้องชมพู่” ระบุยังไม่ปิดคดี มีคนน่าสงสัย แต่พยานหลักฐาน ยังไม่พอที่จะออกหมายจับใครได้พร้อมเปิด 8 เหตุผลสรุปสำนวนคดีมีคนพาขึ้นเขาภูเหล็กไฟ-ทำให้เสียชีวิตขณะที่ “ลุงพล-ป้าแต๋น” มาร่วมฟังด้วย
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 2 ตุลาคม 2563 ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตั้งโต๊ะแถลงความคืบหน้าคดีน้องชมพู่ ที่เสียชีวิตปริศนาบนเขาภูเหล็กไฟ จังหวัดมุกดาหารผู้สื่อข่าวรายงานว่านายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล และนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น เดินทางร่วมรับฟังการเเถลงข่าวคดีของผบ.ตร.ครั้งนี้ด้วยโดยพล.ต.อ.สุวัฒน์ แถลงยืนยันว่าวันนี้ไม่ใช่การแถลงปิดคดีน้องชมพู่ เป็นเพียงการแถลงความคืบหน้าว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานไปถึงขั้นตอนไหน และทำอะไรไปแล้วบ้าง
เหตุผลที่สรุปว่าคดีนี้ มีการตั้งข้อหาว่าพรากเด็ก และกักขังหน่วงเหนี่ยวทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต ซ่อนเร้นอำพรางศพนั้น จนถึงขณะนี้ผู้กระทำผิดยังไม่มีพยานหลักฐานพอที่จะออกหมายจับดำเนินคดีใครได้ แม้จะทำการรวบรวมพยานหลักฐานมานานกว่า 4 เดือน จากเดิมวางแผนไว้ว่าถึงวันนี้มีความจำเป็นต้องทำการหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมบางส่วน ความคาดหวังเดิมเราคิดว่าเราทำได้แล้ว 100% ครบไปแล้ว แต่วันนี้มีความจำเป็นเพิ่มเติม
“การสืบสวนยังไม่ยุติ คดีมีอายุความ 20 ปี แม้ตามระเบียบตำรวจถ้าไม่สามารถดำเนินคดีกับใครได้ใน 1 ปี ต้องส่งสำนวนให้อัยการ แต่ถ้ามีพยานหลักฐานเพิ่มเติม และจากอายุความ 20 ปี การสืบสวนจะทำไปเท่าที่เราแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติมได้ ไม่ใช่การเลิก แต่การทำงานมีผ่อนหนักเบาตามจังหวะเวลาและความจำเป็น โดยตำรวจยืนยันว่าจะดำเนินการตามหลักกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมตามหลักสากล ขอให้มั่นใจว่าแม้ยังจับใครไม่ได้ แต่ยืนยันว่าเรายังทำงาน ตามกฎ กติกา” ผบ.ตร.กล่าว
“สรุปว่าเราเชื่อว่า “น้องชมพู่”ไม่ได้เดินขึ้นไปเอง อาจถูกใครบางคนที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงทางอ้อมพา หรือทำให้ขึ้นไป ถ้าพบพยานหลักฐานบุคคลผู้นี้ต้องรับข้อหาที่เราตั้งไว้” ผบ.ตร. กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า “ลุงพล” มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ขณะนี้เราไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะตั้งข้อหาดำเนินคดีกับใคร เราไม่สามารถแถลงได้เลยว่าสงสัย หรือไม่สงสัยใคร ส่วนที่ว่าเป็นจำเลยสังคม ต้องถามว่าใครมอบตำแหน่งนี้ให้เขา
ผู้สื่อข่าวถามว่า คดีนี้ถ้าไม่เกิดเหตุกับ “น้องชมพู่” แทบไม่มีใครรู้จักบ้านกกกอก หรืออะไรต่างๆ ดังนั้นพฤติการณ์คนร้ายนั้นต้องการอะไร ผบ.ตร. กล่าวว่า ข้อแรก ตำรวจวางกรอบการทำงานอย่างไร เราคิดถึงหลักธรรมดาว่าคนที่ถึงตัวเด็ก หรือทำให้เด็กออกไปจากจุดนั้นๆไปสู่จุดที่เด็กหาย วันเวลาที่เด็กหาย ก็ต้องอยู่ตรงนั้น ก็ต้องดูว่าใครเข้าถึงตรงนั้นได้กี่คน ข้อ2 ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ จากการพูดคุยกับญาติ พ่อแม่ พี่สาว ปกติน้องไม่ยอมให้ใครอุ้ม ตนมีความคิดอยู่ในใจว่าจะเชื่อหรือไม่ สังคมไปตัดสินใจเอาเอง
“เราได้รับการยืนยันว่าน้องไม่ไปกับใครที่แปลกหน้า ถ้าเราเชื่อเรื่องนี้ เราต้องดูว่าใครเข้าถึงตัวน้องได้โดยไม่ร้อง ไม่ต่อต้าน ถ้าไม่ใช่แบบนี้ก็อาจถูกบังคับไป ดังนั้น 1.เป็นคนที่สนิท กับ 2.ไม่รู้จักแต่บังคับไป หรือ 3 ทั้ง 2 ส่วนเอามาผสมกัน คนที่จะทำให้เกิดเรื่องนี้ได้ เชื่อว่าเขาต้องรู้จักภูเขานั้น หรือเคยเดินขึ้นไป เพราะตำแหน่งที่พบศพ น้องไม่ใช่ตำแหน่งที่พบได้ง่าย ตำรวจมีข้อสงสัย หรือตำรวจ หรือผมสงสัยใครพิเศษหรือไม่ ยอมรับว่ามี แต่พูดไม่ได้” พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าว
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวอีกว่า 4 เดือนที่ผ่านมา สำหรับตนไม่ถือว่านาน แต่ประชาชนมองว่าทำไมไม่มีคำตอบ ต้องเรียนว่าความยากง่ายของคดีต่างกัน คดีนี้ถ้าจะยากเพราะมีกระแสต่างๆที่ถูกสร้างขึ้น หรือเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือใครสร้างก็แล้วแต่ มีผลให้เจ้าหน้าที่ทำงานยาก แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะเลิก เราไม่เลิก ตนบอกได้แค่ว่าถ้ามีพยานหลักฐานพอ เราจับแล้ว
“สถานะของลุงพลขณะนี้เป็นผู้บริสุทธิ์หรือผู้ต้องสงสัย ผมยืนยันคำเดิมว่าขณะนี้ยังไม่ตั้งข้อหาใคร ดังนั้นในทางกฎหมายคนไม่มีข้อหาถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ขณะเดียวกันขอให้คนร้ายที่ฟังอยู่นอนเครียดต่อไป เพราะเรายังไม่เลิก1ปีสำนวนอาจจะงดไป แต่การสืบสวนยังทำไปต่อตามอายุความ 20 ปี”ผบ.ตร.ย้ำ
ขณะที่ พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น.แถลงว่า จากกรณีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ โดยหายออกไปจากบ้านพัก ชาวบ้านออกตามหาแต่ไม่พบ กระทั่งแม่น้องชมพู่ แจ้งความกับตำรวจ ก่อนระดมกำลังค้นหาอย่างหนัก จนพบเสียชีวิตนอนเปลือย อยู่บนเขาภูเหล็กไฟ ซึ่งคดีนี้ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก สตช.จึงได้แต่งตั้งคณะสืบสวนสอบสวน จากการ 384 ปากและได้สอบปากคำเข้าสำนวน 120 ปาก ผู้เชี่ยวชาญ 13 ปาก หลักฐาน 113 ชิ้น ได้สรุปสำนวนชันสูตรว่าน้องชมพู่ ไม่สามารถเดินไปจุดพบศพได้ด้วยตัวเอง ด้วยเหตุผล 8 ประการ
1.เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถ ทั้ง 4 เส้นทาง มีอุปสรรคเป็นเนินหินชัน เกินความสามารถของน้องชมพู่ 2.พลังงานไม่เพียงพอ เนื่องจากน้องทานอาหารเช้ามื้อสุดท้าย แค่ไข่เจียว 3 คำ น้ำส้ม 1 ขวด 3.ประสบการณ์ชาวบ้าน เด็ก 3 ขวบ ไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง อาจจะปีนป่ายได้แค่ชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟ 4.จากกรณีศึกษา จากกรณีหายตัวไปของชาวบ้าน แม้ไกลกว่าจุดที่พบน้องชมพู่ 2 เท่า แต่ยังสามารถหาเจอในคืนเดียว 5.แพทย์นิติเวชยืนยันว่า เด็ก 3 ขวบไม่สามารถเดินไปยังจุดพบศพได้ เด็ก 3 ขวบ แม้เดินห่างจากบ้าน 200 เมตร ยังเดินกลับบ้านได้ และพัฒนาการของเด็กไม่สามารถเดินไปยังจุดพบศพได้ 6.สภาพศพ จากวันที่พบศพในสภาพเปลือยกาย ซึ่งพ่อแม่ยืนยันว่า น้องไม่สามารถถอดเสื้อผ้าเองได้ 7.พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ กรณีเส้นผมจำนวน 36 เส้น ตกอยู่ข้างศพ พบว่าเป็นเส้นผมของน้องเอง ถูกตัดและเฉือนด้วยมีด ซึ่งน้องไม่สามารถตัดเองได้ 8.นิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง ที่มืด ป่า สวนยางพารา และไม่เคยไปเล่นบริเวณที่ไหลบ้านเลย
จากการสืบสวนยันได้ว่าน้องชุมพู่ ไม่สามารถเดินขึ้นไปจุดพบศพด้วยตัวเองจึงเชื่อได้ว่ามีผู้พาน้องไปและทำให้ถึงแก่ความตาย ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ยังมีการนำคลิปวีดีโอเกี่ยวกับผลการชันสูตรศพโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีการจำลองและการทดสอบทางนิติวิทยาศาสตร์รวมทั้ง การตรวจสอบทางด้านกีฏวิทยา (แมลง) เกี่ยวกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ มาเปิดเผยโดยผลการชันสูตรพอจะระบุช่วงเวลาการเสียชีวิตได้ว่า น้องชมพู่ เสียชีวิตในช่วงเวลาประมาณ14.00น.ของวันที่12พฤษภาคม จนถึงช่วงเวลาประมาณ14.00น.ของวันที่13 พฤษภาคม
แพทย์ยังระบุอีกว่าไม่พบร่องรอยบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิต และไม่พบร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศแต่จากการสอบสวน แพทย์ผู้ชันสูตรฯ ให้ความเห็นว่าน้องชมพู่ อาจเสียชีวิตจากการขาดน้ำและอาหาร และยอมรับว่า การชันสูตรศพของน้องชมพู่ทำได้ยาก เนื่องจากสภาพศพเริ่มเน่า ส่วนผลการตรวจสอบเส้นผมที่พบในจุดเกิดเหตุ กองพิสูจน์หลักฐาน ได้นำเส้นผมดังกล่าว ไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยยืนยันได้ว่า นอกจากเส้นผมของน้องชมพู่แล้ว ยังพบเส้นผมของบุคคลอื่นในจุดเกิดเหตุ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลทางฝั่งของแม่น้องชมพู่ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของบุคคลใด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี