วิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย หลายชุมชนทั้งในเขตเมืองและชนบทต่างต้องหาวิธีจัดการเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากนี้ให้ได้ เนื่องจากปัญหาปากท้องเป็นเรื่องพื้นฐานสำคัญที่ต้องขับเคลื่อนร่วมกันเพื่อให้เกิดนโยบายสาธารณะที่เหมาะสม
การจัดประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 13 ในวันที่ 16-17 ธันวาคม 2563 ภายใต้แนวคิดหลัก“พลังพลเมืองตื่นรู้ สู้วิกฤตสุขภาพ” จึงมีเรื่อง “ความมั่นคงทางอาหารในภาวะวิกฤต” เป็นหนึ่งในร่างระเบียบวาระในงานดังกล่าว ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.), มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้(side event) “ความมั่นคงทางอาหารในภาวะวิกฤต” เพื่อให้ภาคีเครือข่ายได้มีส่วนร่วมและให้ข้อเสนอต่อการพัฒนานโยบายสาธารณะในประเด็นดังกล่าว โดยจัดในพื้นที่ของสวนผักคนเมือง มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2563 ซึ่งในเวทีดังกล่าวมีตลาดสินค้าเพื่อเป็นพื้นที่เชื่อมโยงและกระจายอาหารจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคตามแนวทางของวิถีเกษตรกรรมยั่งยืนและสร้างความมั่นคงทางอาหารด้วย
สร้างพลเมืองตื่นรู้ ดันวาระความมั่นคงทางอาหาร
นายเจษฎา มิ่งสมร ประธานอนุกรรมการการมีส่วนร่วมและสร้างการเรียนรู้ของภาคีเครือข่าย กล่าวในเวทีฯ ว่า “การทำเกษตรกรรมยั่งยืนที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคเชื่อมถึงกันโดยตรงเป็นเศรษฐกิจที่วางอยู่บนฐานของความเชื่อใจ ช่วยให้ผู้ผลิตลดภาระจากการกู้หนี้ยืมสิน ที่ดินไม่หลุดมือ ลดการใช้สารเคมี ซึ่งจะย้อนกลับมาส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค และเป็นเศรษฐกิจในมิติใหม่ที่ประเทศไทยควรใช้ในอนาคต”
ภายในงานมีเครือข่ายต่างๆ มาร่วมเปิดร้านขายอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากฐานทรัพยากรชุมชน ผักอินทรีย์ ข้าวอินทรีย์และอื่นๆ ให้เลือกซื้อหา โดยมีวิธีคิดเบื้องหลังในการทำเกษตรกรรมที่ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ ขณะเดียวกันก็สามารถผลิตอาหารที่มีคุณภาพและพอเพียงตามความจำเป็นพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกรและผู้บริโภค พึ่งพาตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเอื้ออำนวยให้เกษตรกรและชุมชนท้องถิ่นสามารถพัฒนาได้อย่างเป็นอิสระ
นอกจากนี้ ยังมีเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “ความมั่นคงทางอาหารในภาวะวิกฤติ” ซึ่งมีตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิดมาร่วมพูดคุย ให้ข้อมูล และให้ข้อเสนอแนะที่ควรนำไปผลักดันเป็นนโยบาย
โควิด-19 กับการขาดแคลนอาหาร
นายมานพ แก้วผกา ผู้ประสานงานกลุ่มโรงงานสมานฉันท์ เล่าถึงความยากลำบากจากสถานการณ์โควิด-19 ว่า เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กลุ่มของเขาไม่มีงานตัดเย็บเสื้อผ้า สมาชิกในกลุ่มจะกลับบ้านก็ไม่มีค่ารถ ที่ดินทำกินในต่างจังหวัดก็ไม่มีเหลือแล้ว ส่งผลให้มีปัญหาเรื่องอาหารการกิน ยังดีที่มีการปลูกผักอายุสั้นไว้ ช่วยให้สามารถมีอาหารพอประทังชีวิตไปได้
“มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืนทำโครงการปันอาหารปันชีวิต รวบรวมผู้คนที่สนับสนุนเงินซื้อผักปลอดสารพิษจากเกษตรกรทั่วประเทศแล้วมาบริจาคให้กับกลุ่มคนที่มีปัญหา ทำให้พวกเราพออยู่ได้ เปิดครัวกลางสองเดือน ทำอาหารปันให้คนในชุมชนสองร้อยห้าสิบคน รวมทั้งให้คนไร้บ้านด้วย” มานพเล่า
ผลักดัน “ความมั่นคงทางอาหาร” เป็นวาระแห่งชาติ
เรื่องราวข้างต้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความมั่นคงทางอาหารมีความสำคัญเพียงใด ทั้งในยามปกติและโดยเฉพาะในช่วงภาวะวิกฤติ รศ.ดร.ประพาส ปิ่นตบแต่ง จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะทำงานวิชาการในประเด็นนี้ เห็นว่าในแง่รัฐศาสตร์การสร้างนโยบายสาธารณะที่มาจากการมีส่วนร่วมมีความสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงทางอาหารเป็นสิ่งที่ควรผลักดันให้รัฐนำไปปฏิบัติ
“ความมั่นคงทางอาหารคือการที่ผู้คนเข้าถึงอาหารอย่างเสมอหน้า ทั้งปริมาณและคุณภาพ และในกระบวนการการผลิตอาหารยังเกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คน เกษตรกรรายย่อย การผลิต การกระจาย การมีอาหารอินทรีย์ที่ผลิตโดยบริษัทใหญ่ๆ จะนำไปสู่ความเปราะบางของเกษตรกรรายย่อยและอธิปไตยทางอาหาร ดังนั้น ความมั่นคงทางอาหารต้องนิยามให้กว้าง เพราะเกี่ยวพันกับการพึ่งตนเอง อิสรภาพทางเมล็ดพันธุ์ และอื่นๆ” รศ.ดร.ประพาสกล่าว
“ในยามวิกฤติควรมีนโยบายให้ทุกคนเข้าถึงอาหารที่เพียงพอหนุนเสริมความมั่นคงทางอาหารจากฐานของชุมชน เช่น ตู้เย็นรอบบ้าน ธนาคารอาหารชุมชน ตลาดชุมชน ตลาดทางเลือก สังคมเห็นว่ากลไกเหล่านี้ควรได้รับการหนุนเสริมในระยะยาว” รศ.ดร.ประพาส กล่าว สอดคล้องกับนายมานพและนางสาวพรทิพย์ที่มีข้อเสนอไปยังรัฐบาลคล้ายคลึงกันว่า ควรทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อการประกอบอาชีพและการทำโครงการต่างๆ ที่เพิ่มความมั่นคงด้านอาหารของชุมชนเป็นไปอย่างสะดวก ง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ติดอยู่กับแนวทางของราชการ เพื่อเปิดให้ชุมชนสามารถออกแบบการทำงานที่สอดคล้องกับตนเองได้
สิ่งสำคัญที่สุด...คงถึงเวลาแล้วที่ “เราทุกคน” ต้องผันตัวเป็น“พลเมืองตื่นรู้” ร่วมกันสร้าง “ความมั่นคงทางอาหาร” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพวกเราทุกคนนั่นเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี