ถ้าย้อนหลังดูการพัฒนาการเกษตรของประเทศไทยจะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการในแต่ละยุคสมัย หรือเปลี่ยนไปตามนโยบายที่เน้นหนักของผู้บริหารประเทศในยุคนั้นๆ แต่เดิมการเกษตรอาจเป็นเพียงวิถีชีวิตของชาวบ้านทำการเกษตรไว้เพื่อบริโภคภายในครัวเรือน เหลือเผื่อแผ่ให้ญาติมิตรเพื่อนบ้าน มีการลงแรงร่วมกันในการทำการเกษตร ผู้คนในชุมชนได้ช่วยเหลือกัน แบ่งปันกัน ไม่ว่าจะเป็นการลงแรงในการดำนา เกี่ยวข้าว เกิดเป็นประเพณีอันดีงามในท้องถิ่น มีการละเล่น ศิลปะพื้นบ้านต่างๆ ก็มีแหล่งกำเนิดมาจากวิถีชีวิตของชาวบ้าน เป็นสื่อแสดงถึงวัฒนธรรมและความผูกพันกับการทำการเกษตร เพลงพื้นบ้านเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตอย่างแท้จริง และสะท้อนถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี ทั้งน้ำท่วม ฝนแล้ง นาล่ม ต่างสะท้อนเป็นบทเพลงหลายๆ บทเพลง และเป็นที่นิยมมาถึงปัจจุบัน
ภาคการเกษตรเมื่อถูกพิจารณาเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญภาคหนึ่งของประเทศ จึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลง มีการปฏิวัติเขียว ปรับเปลี่ยนภาคการเกษตรจากวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม มาเป็นวิถีชีวิตที่ต้องมีการลงทุน เพื่อหวังผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเป็นหลัก จึงเกิดการจ้างงาน การลงทุนด้านปัจจัยการผลิตในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ปุ๋ย สารเคมีปัองกันกำจัดศัตรูพืช เรื่อยไปถึงขั้นตอนการเก็บเกี่ยวที่ไม่สามารถใช้แรงงานคนได้ทัน เครื่องจักรจึงเข้ามาทดแทน โดยเน้นผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ จนบางครั้งหากคิดต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกับรายได้ที่ได้รับจากผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอาจไม่เป็นอย่างที่หวัง และบางครั้งอาจถึงขั้นขาดทุนเลยก็เป็นได้
ขณะที่ทุกฝ่ายต่างมุ่งทำการเกษตรโดยมองที่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับกลับมา ความสัมพันธ์ เชื่อมโยง การช่วยเหลือกันและกันตามวิถีชาวบ้าน วิถีของการพัฒนาชนบทก็เลือนหายไป จนแทบไม่มีปรากฏให้เห็น เมื่อถึงจุดหนึ่งเกิดแนวคิดของการรวมกันเป็นกลุ่มก้อนหรือองค์กรเพื่อช่วยเหลือกัน มุ่งหวังให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนกิจกรรมด้านการเกษตรในทุกๆ ขั้นตอนตั้งแต่รวมกันผลิต จัดหาปัจจัยการผลิต จัดการผลิตร่วมกัน เพื่อให้ได้ราคาและคุณภาพที่สมเหตุสมผล รวมกันขาย สร้างพลังต่อรองทางธุรกิจเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดผลตามมาจากการที่ชุมชนถูกทำให้แตกแยก แข่งขันกันผลิต ผลผลิตชนิดใดให้ผลตอบแทนดี เป็นราคา ก็แห่กันไปทำการผลิตสินค้านั้น เมื่อแข่งกันผลผลิต ผลผลิตออกมาสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาตกต่ำลงตามกลไกตลาด ปัจจัยเหล่านี้ถูกกดดันให้มีการรวมกลุ่มเพื่อสร้างพลังต่อรองในรูปแบบต่างๆ เช่น กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน หรือสหกรณ์การเกษตรทั้งหลาย แต่ด้วยข้อจำกัดด้านระเบียบ ข้อกฎหมาย การวัดผลสำเร็จของผู้บริหารสถาบันเกษตรกรเหล่านั้น ทำให้แทนที่จะรวมตัวกันเพื่อสร้างพลังต่อรอง กลายเป็นถูกใช้เป็นเครื่องมือทางธุรกิจของพ่อค้าหรือผู้มีผลประโยชน์ในองค์กรแทน ไม่ได้เป็นองค์กรที่ปกป้องผลประโยชน์ของสมาชิก การรวมกลุ่มดังกล่าวจำนวนมากกลายเป็นกลุ่มที่อ่อนแอไม่สามารถสร้างพลังในการต่อรองได้อย่างที่หวัง
ในยุคการปฏิรูปภาคเกษตรที่มุ่งหวังสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน หวังให้เกษตรกรสร้างความพร้อมในการประกอบอาชีพการเกษตร มีการตั้งศูนย์เรียนรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตร หรือ ศพก. จากเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการทำการเกษตรในพื้นที่สิ่งแวดล้อมของชุมชนนั้นๆ โดยเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปทำหน้าที่ประสานงานเท่านั้น เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องสมเหตุสมผลในสิ่งแวดล้อมการผลิตทางการเกษตรนั้น เกษตรกรที่เข้ามาเรียนรู้ใน ศพก. สามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้กลับไปรวมตัวกับเกษตรกรที่ผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ช่วยเหลือ แบ่งปันประสบการณ์ระหว่างกัน พัฒนาการผลิตไปในทิศทางเดียวกัน ขยายแนวคิดออกไป เพิ่มจำนวนแปลงให้มากขึ้น กลายเป็นการทำการเกษตรแบบแปลงใหญ่ภายใต้แนวคิดและเทคโนโลยีเดียวกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ค่อยๆ พัฒนาไปพร้อมๆ กัน เกิดความยั่งยืนในการพัฒนาไปด้วยกัน โดยร่วมกันวางแผนการผลิต การตลาด การจัดหาปัจจัยการผลิต การใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมตามสภาพแวดล้อมของตน มุ่งลดต้นทุนการผลิต สร้างผลผลิตคุณภาพมีมาตรฐาน ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตามความต้องการของตลาด มีการบริหารจัดการที่ดี สมาชิกในกลุ่มแปลงใหญ่จึงได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม โดยกลุ่มแปลงใหญ่ต้องมีผู้จัดการแปลงที่มีประสิทธิภาพ สามารถประสานการดำเนินการและการจัดการได้ทั้งระบบ มีการนำความรู้ความสามารถของสมาชิกแต่ละคนมาใช้ประโยชน์ ดึงลูกหลานเข้ามาร่วมดำเนินการในส่วนที่ตนเองถนัด จึงสามารถสร้างความต่อเนื่อง ขยายผล และสร้างความเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน
จากรากฐานและเป้าหมายของแปลงใหญ่ที่กล่าวมา หากผู้บริหารประเทศมองว่าแปลงใหญ่คือการอุดหนุน ให้เปล่า โดยขาดจิตสำนึกของการพัฒนาร่วมที่จะสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง สุดท้ายแปลงใหญ่จะกลายเป็นองค์กรเกษตรกรอีกองค์กรหนึ่งที่ล้มเหลวในการพัฒนา เหมือนกับหลายๆองค์กรที่เป็นมาในอดีตที่ถูกทำลายลงด้วยแนวคิดการอุดหนุนของผู้กำหนดนโยบาย บางทีต้องย้อนกลับไปพิจารณากันใหม่ให้ดีๆ คำว่า “อุดหนุน-ให้เปล่า” ในลักษณะที่กำลังคิดและทำ ยังจำเป็นต่อสภาพแวดล้อมปัจจุบันหรือไม่ หรือ เป็นสารเร่งความอ่อนแอให้เกิดขึ้นกับองค์กรเกษตรกร คิดผิด คิดใหม่ได้
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี