คณะเจ้าหน้าที่ของแอปเตอร์ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย ถือเป็นเจ้าหน้าที่ทำงานประจำคล้ายกับเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศทั่วๆ ไป ทำงานภายใต้กฎระเบียบที่ร่างกำหนดไว้อย่างชัดเจนและได้มาตรฐานสากล ทั้งนี้เพราะกว่าจะได้มาเป็นองค์กรถาวร คณะทำงานได้ใช้ความพยายามศึกษาและยกร่างกันอยู่หลายปี อาศัยการเทียบเคียงกับองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ เป็นต้นแบบ เช่น องค์การสหประชาชาติ สำนักเลขาธิการอาเซียน เป็นต้น ปัจจุบัน นอกจากความตกลงแอปเตอร์ หรือ APTERR Agreement แล้ว เรายังมีระเบียบที่ว่าด้วยคณะมนตรีแอปเตอร์ ว่าด้วยสำนักเลขานุการแอปเตอร์ว่าด้วยการคัดเลือกผู้บริหาร และที่สำคัญอีก 3 ฉบับ ซึ่งเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน คือ ระเบียบว่าด้วยการบริหารว่าด้วยการเงิน และสุดท้ายว่าด้วยการช่วยเหลือด้านข้าว
ในส่วนของระเบียบว่าด้วยการบริหารเป็นเรื่องเกี่ยวกับจัดการและพัฒนาบุคลากรซึ่งประเด็นหนึ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ของเราสามารถสร้างเสริมความรู้และประสบการณ์ทัดเทียมกับบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่น คือการฝึกอบรมและออกไปศึกษาดูงาน นับว่าเป็นความฉลาดและเห็นการณ์ไกลของผู้ร่างระเบียบอย่างน่าชมเชยทีเดียว เพราะมิฉะนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่แอปเตอร์ของเราคงจะไม่สามารถพัฒนาความรู้และประสบประการณ์ได้เหมือนอย่างในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะเจ้าหน้าที่แอปเตอร์ ส่วนมากเป็นผู้ที่จบการศึกษามาแบบสดๆ ซิงๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่เก่ง เนื่องจากเราตั้งมาตรฐานไว้สูงมากสำหรับคนที่จะรับเข้ามาทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษประเภทใช้งานได้ แต่ทว่าในเรื่องประสบการณ์นั้น พวกเขายังคงต้องได้รับการเติมเต็มอยู่อีกพอสมควร ฉะนั้นในทุกปี เราจึงได้มีการจัดให้มีการศึกษาดูงานในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภารกิจหน้าที่ของเรา ดังเช่นที่เคยเขียนเล่าไปแล้วในบางช่วงบางตอนครับ
มาในตอนนี้ ผมขอเล่าเรื่องช่วงหนึ่งที่ได้มีโอกาสสำคัญพาคณะเจ้าหน้าที่แอปเตอร์ ไปศึกษาดูงานที่จังหวัดบ้านของผมเอง ในด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวและการเก็บรักษาข้าว พร้อมทั้งได้เยี่ยมชมสภาพหมู่บ้านตำบลป่าสะแก ที่ตั้งอยู่อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นหมู่บ้านภายใต้การสนับสนุนของโครงการนวัตวิถีของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยในจุดแรกที่คณะเราไปเยี่ยมชมเป็นการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง มีที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองสุพรรณบุรีเท่าใดนักความจริงโรงงานผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวแห่งนี้ ผมเองรู้จักมักคุ้นดี เพราะสมัยที่รับราชการอยู่ที่กรมการข้าว เคยไปร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอยู่หลายครั้ง ถือว่าโรงงานแห่งนี้เป็นพันธมิตรกับทางราชการในการช่วยผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ชาวนาใช้เพาะปลูก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ลำพังภาครัฐของไทย ไม่สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้อย่างพอเพียงเลย กล่าวคือ มีเพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ของความต้องการใช้ทั้งประเทศเท่านั้น ดังนั้น การขอให้ทุกฝ่ายรวมทั้งตัวชาวนาเองเข้ามาร่วมกันผลิตเพื่อเพิ่มปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้าวดีย่อมเป็นสิ่งที่แผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ของกรมการข้าวจำเป็นต้องเขียนไว้ เพราะถึงอย่างไรเสียภาครัฐก็ไม่มีทางที่จะสามารถพัฒนากำลังการผลิตได้พอเพียงแน่นอน
โรงงานที่ได้ไปเยี่ยมชมนี้ ถือว่าเป็นโรงงานที่ใหญ่และทันสมัยมาก เผลอๆ อาจจะทันสมัยกว่าโรงงานของรัฐบาลเสียอีก ขอเรียนให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า ระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวแบบบ้านเรานี้ ผมได้ตระเวนไปดูมาเกือบทุกประเทศทั้งหมดในอาเซียนแล้ว ไม่มีของประเทศใดเลยที่แซงหน้าประเทศไทย ในเมียนมา มีแปลงขยายพันธุ์ดำเนินการโดยภาครัฐ คือเอาเมล็ดพันธุ์ดีหัวเชื้อที่ผลิตโดยรัฐ ไปให้เกษตรจังหวัด/อำเภอทำแปลงในศูนย์หรือไร่นาเกษตรกร เก็บเกี่ยวแล้วกระจายออกไปตามธรรมชาติ ของ สปป.ลาว ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ของกัมพูชามีแปลงผลิตโดยภาครัฐ แต่เครื่องมือคัดเมล็ดพันธุ์ยังไม่ทันสมัย ที่ฟิลิปปินส์ส่วนมากได้พันธุ์มาจากสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติที่ตั้งอยู่ที่นั่นเป็นหลัก ส่วนของเวียดนามดีขึ้นมาหน่อย เนื่องจากภาครัฐให้ความสำคัญมากที่จะพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวส่งออกแข่งกับไทยเรา ครับ ฉบับต่อไป ขออนุญาตพูดถึงหมู่บ้านนวัตวิถีป่าสะแก จังหวัดสุพรรณบุรี นะครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี