‘เชียงใหม่’ผวา!
พบหญิงไทยติดเชื้อโควิด-19
กลับจากเมียนมา24พ.ย.
เร่งติดตาม326ผู้สัมผัส
สหรัฐยังคงอาการหนัก
ป่วยสะสมทะลุ13ล้าน
ศบค.รายงานพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่ม 5 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ ขณะที่ สธ. แถลงพบหญิงติดโควิด-19 ที่เชียงใหม่ เพิ่งเดินทางกลับจากเมียนมา เมื่อ 24 พฤศจิกายน ก่อนไปเที่ยวสถานบันเทิงและเดินห้างฯ เร่งติดตามผู้สัมผัส 326 ราย ในจำนวนนี้มีความเสี่ยงสูง 105 ราย ขณะที่สถานการณ์ในต่างประเทศ สหรัฐยังสาหัส พบผู้ป่วยวันเดียว 2 แสนคนทำให้ยอดป่วยสะสมพุ่งทะลุ 13 ล้านคน เสียชีวิต 2.7 แสนคนส่วนยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลก มากกว่า 62 ล้านคน เสียชีวิต 1.4 ล้านคน
ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563 เวลา 11.00 น. พบผู้ป่วยรายใหม่ 5 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,966 ราย หายป่วยแล้ว 3,798 ราย และเสียชีวิตสะสม 60 ราย
สำหรับรายละเอียดผู้ป่วยรายใหม่ 5 ราย เป็นคนไทย 3 ราย สัญชาติอินเดีย 2 ราย ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศ โดยมาจากอินเดีย 2 ราย ฟิลิปปินส์ 1 ราย และสวีเดน 1 ราย เข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ ส่วนอีก 1 ราย เดินทางมาจากเมียนมา เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนครพิงค์
สธ.แถลงพบหญิงติดโควิดที่เชียงใหม่
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงกรณีพบหญิงไทยอายุ 29 ปี ติดเชื้อโควิด-19 ว่า หญิงรายนี้ได้เดินทางกลับจากทำงานที่ประเทศเมียนมา เข้าไทยเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ผ่านทาง อ.แม่สาย จากนั้นนั่งรถตู้ต่อมายัง อ.เมือง จ.เชียงราย และนั่งรถบัสต่อมายัง จ.เชียงใหม่ ก่อนเรียกแกร็บให้มาส่งมาที่คอนโด และกลางดึกออกไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านสันติธรรมกับเพื่อนสองคน มีการสูบบุหรี่ร่วมกัน และเข้าพักที่คอนโดของเพื่อน มีการดื่มสุรา ต่อมา วันที่ 25 พ.ย. ไปห้างสรรพสินค้า รับประทานอาหาร ชมภาพยนตร์ ซื้อของ มีการสวมหน้ากากอนามัยเป็นระยะ วันที่ 26 พ.ย. เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ตรวจพบเชื้อโควิด-19 และเมี่อตรวจยืนยันซ้ำเมื่อวันที่ 27 พ.ย. ยังพบเชื้อ เบื้องต้นติดตามผู้สัมผัส 326 ราย เป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง 105 ราย ในจำนวนนี้เป็นเพื่อน 2 คน และผู้ที่อยู่ในสถานบันเทิง 55 คน
จนท.ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อบาร์โฮส
เมื่อเวลา 11.30 น. นายณัฐฐชูเดช วิริยดิลกธรรม รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ และนายดนัย สารพฤกษ์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมสาธารณสุข เทศบาลนครเชียงใหม่ นำเจ้าหน้าที่เข้าฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ที่บาร์โฮสแห่งหนึ่งย่านสันติธรรม ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ที่หญิงสาว อายุ 29 ปี ที่ถูกระบุว่า ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 เดินทางมาเที่ยวเมื่อคืนวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยสถานบันเทิงดังกล่าวตั้งอยู่ในอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น 2 คูหา เป็นระบบห้องปรับอากาศทั้งหมด เจ้าหน้าที่ต้องสวมชุดพีพีอี พร้อมนำน้ำยาเข้าไปฉีดพ่นภายในสถานบริการบริเวณชั้น 1 ทั้งในห้องน้ำ ห้องครัว และโซฟาที่นั่ง ขณะเดียวกัน ทีมสอบสวนโรค จากสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ได้เดินทางมาเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งของพนักงานบาร์โฮสดังกล่าว เพื่อส่งตรวจค้นหาเชื้อโควิด 19 ทราบว่า มีพนักงานทั้งหมด 40 คน
จับผู้ถือบัตรหัวศูนย์ลักลอบเข้าเมือง
มีรายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรค (ศปก.) อ.แม่สาย จ.เชียงราย ได้ควบคุมตัวบุคคลที่ตรวจพบว่าได้หลบหนีเข้าเมืองผ่านลำน้ำสายชายแดนไทย-เมียนมา มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา จำนวน 3 คน ประกอบด้วย นายหนุ่ม นามแสง อายุ 30 ปี ถือบัตรประจำตัวประชาชนเป็นบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียนหรือบัตรหัวศูนย์ นาง Nan San Noon Jan Noon Thun Du อายุ 30 ปี ชาวสัญชาติเมียนมา และ ด.ญ.ดาริกา ไม่มีนามสกุล อายุ 7 ขวบ ถือบัตรเหมือนบิดา ทั้งหมดเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
ทั้งหมดให้การว่าตามปกติอาศัยอยู่บริเวณชายแดนทั้ง 2 ฝั่งประเทศ และทำงานรับจ้างก่อสร้างในฝั่งไทย กระทั่งเมื่อมีการปิดด่านจึงได้รับผลกระทบจึงได้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองมาตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา ผ่านลำน้ำสายตรงช่องทางธรรมชาติพื้นที่หมู่บ้านเวียงหอม หมู่ 4 ต.แม่สาย จากนั้นได้ไปพักอยู่ที่หมู่บ้านที่เป็นโครงการของรัฐแห่งหนึ่งที่ ต.โป่งผา ทางเจ้าหน้าที่ ศปก.อ.แม่สาย เห็นว่าครอบครัวนี้ถือบัตรหัวศูนย์ที่ทางราชการไทยออกให้จึงมอบหมายให้ทางอาสารักษาดินแดน (อส.) ได้นำทั้งหมดส่งไปกักดูอาการที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.เมืองเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กักดูอาการในพื้นที่หรือ Local Quarantine
ฮ่องกงยอดติดเชื้อทะลุ6พันราย
สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศ ที่ฮ่องกงพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่จำนวนสองหลัก ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อตอนนี้สูงแตะ 6,000 รายนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด ทางการออกคำสั่งยกระดับการควบคุมการแพร่ระบาดให้เข้มงวดขึ้น โดยศูนย์คุ้มครองสุขภาพของฮ่องกงรายงานผู้ป่วยยืนยันผลเพิ่มเติม 92 รายเมื่อวันศุกร์ ส่งให้ยอดรวมตอนนี้อยู่ที่ 6,039 ราย ผู้ติดเชื้อ 89 รายในจำนวนทั้งหมดมาจากการติดเชื้อในท้องถิ่น โดยยังไม่ทราบต้นตอ 17 ราย ผู้ป่วยรายใหม่จำนวนมากเกี่ยวข้องกับการระบาดเป็นกลุ่มก้อนจากสตูดิโอสอนเต้นแห่งหนึ่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 367 รายแล้ว
ขณะที่รัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (HKSAR) สั่งคุมเข้มมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมมากขึ้น เพิ่มความเข้มแข็งในการคัดกรองโควิด-19 และใช้ข้อกำหนดสำหรับนักท่องเที่ยวขาเข้าที่เข้มงวดกว่าเดิม ข้อมูลขององค์การโรงพยาบาลของฮ่องกงระบุว่าขณะนี้ยังมีผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 495 รายรับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ป่วยวิกฤต 6 ราย
แอลเอห้ามชุมนุมพบปะชั่วคราว
ที่นครลอสแอนเจลิส ในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ มีประกาศห้ามการชุมนุมพบปะกันเป็นการชั่วคราวระหว่างผู้ที่อยู่คนละครัวเรือนกัน ตามคำสั่งที่เรียกว่า “อยู่บ้านปลอดภัยกว่า” โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันจันทร์และจะใช้บังคับเป็นเวลาอย่างน้อย 3 สัปดาห์ คือจนถึงวันที่ 20 ธันวาคมนี้ สำนักงานสาธารณสุขของนครลอสแอนเจลิส กล่าวว่า เมื่อคำสั่งเริ่มบังคับใช้ในวันจันทร์ ประชาชนจะได้รับคำแนะนำให้อยู่บ้านมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การชุมนุมสาธารณะหรือส่วนตัวทุกประเภท ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในบ้านเดียวกัน ถูกสั่งห้ามโดยเด็ดขาด ยกเว้น การประกอบพิธีทางศาสนาและการชุมนุมประท้วง ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
นครลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรหนาแน่นมาก พบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 แล้วมากกว่า 7,600 ราย มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่เสียชีวิตในรัฐแคลิฟอร์เนียทั้งหมด
ส่วนภาพรวมของสหรัฐ ขณะนี้พบยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้นอีก 200,000 คน และเสียชีวิตเพิ่มเกือบ 1,500 คน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็น 13,079,305 คน และเสียชีวิตสะสม 264,823 คน ยังไม่มีวี่แววว่าการแพร่ระบาดจะลดลง โดยสหรัฐยังคงครองแชมป์ประเทศที่มีการแพร่ระบาดรุนแรงที่สุดของโลกต่อไป นอกจากนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐเพิ่มจาก 10 ล้านคน เป็น 11 ล้านคนในระยะเวลาเพียง 6 วัน และในวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันขอบคุณพระเจ้า เพียงวันเดียวมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มถึงกว่า 100,000 คน ขณะที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐประเมินว่า ใน 3 สัปดาห์ข้างหน้า จะมีผู้ป่วยโควิด-19 เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกถึงประมาณ 60,000 คน
ยุโรปเริ่มกลับมาเปิดร้านค้าแล้ว
ขณะเดียวกัน ประเทศในยุโรปหลายประเทศได้เริ่มอนุญาตให้ร้านค้ากลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น ทันเวลากับช่วงเทศกาลวันหยุดที่กำลังจะมาถึง หลังจากที่การควบคุมการระบาดของเชื้อโควิด-19 มีความคืบหน้าไปในทางที่ดี ซึ่งประเทศในยุโรปส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะสามาถผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดได้ก่อนเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เพื่อให้ครอบครัวต่างๆ ได้ผ่อนคลายจากมาตรการเข้มงวดที่หวังว่าจะเป็นระลอกสุดท้ายก่อนที่วัคซีนป้องกันโควิด-19 จะเริ่มนำมาใช้ได้ ที่ประเทศฝรั่งเศส ร้านค้าต่างๆ จะเริ่มเปิดให้บริการในวันเสาร์ เช่นเดียวกับห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในโปแลนด์ก็จะเปิดรับลูกค้าในวันนี้เช่นกัน
ส่วนที่เบลเยียมจะอนุญาตให้ร้านต่างๆ เปิดในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ แต่จะยังคงมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนี้ไปจนถึงกลางเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับเยอรมนี ลักเซมเบิร์กและเนเธอร์แลนด์ ส่วนรัฐบาลอิตาลี ยกเลิกมาตรการเข้มงวดเป็นบางส่วนในหลายพื้นที่ รวมทั้งลอมบาร์ดี เพียมอนเต ทางตอนเหนือ และ กาลาเบรีย ทางตอนใต้ ตั้งแต่วันอาทิตย์เป็นต้นไป ปรับระดับการเตือนภัย จากสีแดงเป็นสีส้ม ส่วนไอร์แลนด์ ก็ประกาศผ่อนคลายมาตรการเช่นกัน เพื่อธุรกิจได้กลับมาเปิดกิจการและให้ครอบครัวต่าง ๆ ได้กลับมาพบหน้ากันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
ยอดป่วยทั่วโลกทะลุ62ล้าน
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก นับถึงช่วงเย็นวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563 พบว่า มียอดผู้ป่วยสะสม 62,084,910 ราย เสียชีวิต 1,451,167 ราย รักษาหาย 42,879,281 ราย สหรัฐ ผู้ป่วย 13,454,346 ราย เสียชีวิต 271,029 ราย อินเดีย ผู้ป่วย 9,351,224 ราย เสียชีวิต 136,238 ราย บราซิล ผู้ป่วย 6,238,350 ราย เสียชีวิต 171,998 ราย รัสเซีย ผู้ป่วย 2,242,633 ราย เสียชีวิต 39,068 ราย ฝรั่งเศส ผู้ป่วย ราย 2,196,119 เสียชีวิต 51,914 ราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี