วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นายสมชาย คังคะมณี รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 9 สงขลา (สศท.9) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ระบาดของโรคใบร่วงยางพาราที่เกิดจากเชื้อรา Colletotrichum sp. พบการระบาดครั้งแรกในอินโดนีเซียปี 2559 และเมื่อปี 2562 เริ่มแพร่ระบาดในประเทศมาเลเซีย อินเดีย ศรีลังกา และไทย ซึ่งโรคดังกล่าวระบาดโดยลมและฝน ต้องการน้ำเพื่อการขยายพันธุ์ จึงระบาดได้ดีในสภาพอากาศเย็น ฝนตกชุก ความชื้นสูง สำหรับประเทศไทย (ข้อมูลจากศูนย์วิจัยยางพารา ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2563) พบการระบาด 14 จังหวัดภาคใต้ รวมพื้นที่เสียหายประมาณ 357,662 ไร่ โดยจังหวัดที่มีพื้นที่ระบาดมากที่สุด 4 อันดับแรก เป็นเขตภาคใต้ตอนล่าง ได้แก่ นราธิวาส 279,315 ไร่ ยะลา 55,180 ไร่ สงขลา 5,950 ไร่ และปัตตานี 4,770 ไร่ ซึ่งโรคใบร่วงยางพาราชนิดนี้ทำให้ต้นยางพาราเกิดใบร่วงอย่างรุนแรงส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิต ซึ่งขณะนี้จังหวัดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ นราธิวาส ประกอบกับช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนเกษตรกรจึงกรีดยางได้น้อยลงสศท.9 ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลปริมาณการผลิตยางพาราและติดตามสถานการณ์ดังกล่าว ในจ.สงขลาซึ่งมีพื้นที่ปลูกทั้งหมด 1,963,305 ไร่ พบการระบาด 5,950 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.35 ของเนื้อที่กรีดยางได้ในจังหวัด 1,704,760 ไร่ โดยอำเภอที่พบการระบาดมากที่สุด 3 อำเภอแรกได้แก่ นาทวี เทพา และสะบ้าย้อย มีการระบาดในทุกพันธุ์ยางที่ปลูก คือ พันธุ์ RRIM 600 พันธุ์ RRIT 251 และพันธุ์ PB 311
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจติดตามสถานการณ์ระบาดของโรคในเขตภาคใต้ตอนล่างอย่างเร่งด่วน พร้อมเก็บตัวอย่างใบ เพื่อนำมาวินิจฉัยเชื้อหาสาเหตุที่แน่ชัด โดยนำสารเคมีที่มีประสิทธิภาพป้องกันกำจัดเชื้อราชนิดนี้มาทดสอบในห้องปฏิบัติการ เช่น คาร์เบนดาซิม โพรพิโคนาโซล เฮกซะโคนาโซล โพรพิโคนาโซลผสมกับไดฟีโนโคนาโซล ซึ่งได้ผลลัพธ์ดี และขณะนี้อยู่ระหว่างขยายผลไปทดสอบในแปลงจริงร่วมกับกรมวิชาการเกษตร ซึ่งจะใช้ทั้งอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) และเครื่องยนต์พ่นสารแบบแรงดันน้ำสูงชนิดลากสายในการฉีดพ่น ทั้งนี้ สศท.9 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งสร้างการรับรู้ให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญและให้ความร่วมมือแก้ปัญหาโรคดังกล่าว โดยต้นยางที่มีอายุมากขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าต้นยางอายุน้อยขนาดเล็ก ซึ่งอาการใบร่วงจากเชื้อรานี้มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตน้ำยาง เนื่องจากมีใบร่วงมากกว่าร้อยละ 90 จึงเป็นเหตุให้ผลผลิตลดลงร้อยละ 30- 50 โดยเบื้องต้นเกษตรกรสามารถสังเกตอาการของโรคใบร่วงได้ด้วยตนเอง ซึ่งใบยางพาราโดยเฉพาะใบแก่จะมีลักษณะเป็นรอยช้ำเป็นกลุ่มเห็นชัดเจนด้านหลังใบ จากนั้นจะแสดงอาการเป็นวงค่อนข้างกลมสีเหลือง ต่อมาเนื้อเยื่อรอยสีเหลืองจะแห้งตาย เป็นแผลกลมสีสนิมซีด โดยพบอาการจุดแผลต่อใบยางมากกว่า 1 แผล จากนั้น ใบจะเหลืองและร่วงในที่สุด ซึ่งอาการโรครุนแรงและใบร่วงมากหลังมีฝนตกหนักติดต่อกันอย่างน้อย 2 วัน หากเกษตรกรสงสัยว่ายางพาราที่ปลูกเป็นโรคดังกล่าวให้รีบติดต่อ กยท. ในพื้นที่เพื่อเข้าตรวจสอบ วินิจฉัยโรค และหาแนวทางช่วยเหลือต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี