องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันดินโลก (World Soil Day)” โดยสาเหตุที่เลือกวันดังกล่าวเพราะเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) เนื่องจากพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานปรากฏผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์อย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและนานาชาติ
ซึ่งเมื่อวันที่ 5-6 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมามูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ จัดมหกรรมวันดินโลก ประจำปี 2563 ตอน รักษ์ปฐพีคืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน (Keep soil alive protect soil biodiversity) ณ ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง ต.หนองบอนแดง อ.บ้านบึงจ.ชลบุรี โดยในวันที่ 5 ธ.ค. 2563 “อาจารย์ยักษ์”วิวัฒน์ ศัลยกำธร ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “แผ่นดินของเราในวิกฤติกลียุค” ว่า ในปีนี้จะมีคนอดอยากเป็นพันล้านคนทั่วโลก
ทำให้ FAO ประกาศตั้งองค์กรหนึ่งขึ้นมาโดยหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือประชาชนที่กำลังทุกข์ทรมานจากความอดอยาก ใน 50 ประเทศ ที่รัฐบาลไม่มีพลังที่จะดูแลประชาชน ให้ได้อย่างน้อย 100 ล้านคน “วิกฤติของโลกเกิดมาก่อนการระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาจากน้ำมือมนุษย์เราด้วยกันเอง” เช่น ทำให้แหล่งน้ำสกปรกเต็มไปด้วยขยะจนใช้อุปโภค-บริโภคไม่ได้ เกิดมลพิษตั้งแต่หนอง คลอง แม่น้ำ ไปจนถึงในทะเล
“ภาคอุตสาหกรรมก็ช่วยกันทำลาย คนในเมืองกิน-ใช้ สร้างขยะสร้างของเสีย ก็ช่วยกันทำลาย เกษตรกรก็เอาสารพิษมาช่วยกันทำลาย ขนาดรู้อยู่ว่าเป็นพิษ กินไม่ได้ก็ยังตะแบงบอกว่าปุ๋ยเคมีไม่ใช่สารพิษ ติดตำรากันตะแบงไป ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่หน้าที่เราที่ต้องไปเปลี่ยนแปลงคนทั้งโลก หน้าที่เราที่จะทำให้ดู แต่เป็นหน้าที่ขององค์การโลก เช่น FAO เขาต้องรวมตัวกันและต้องพาคนทั้งโลกหยุดทำลายโลกของตัวเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เรียนจบ ป.ตรี ก็มี เรียนโง่ๆ แล้วไปช่วยกันทำลายแผ่นดิน จบ ป.โท ก็มี ก็ไปช่วยกันสื่อสารทำลายแผ่นดิน จบ ป.เอก ก็ไปช่วยทำวิจัยกัน เอามลพิษจากโรงกลั่นน้ำมัน เอาปุ๋ยเคมี เอายาฆ่าปลวก ยาฆ่ายุงยาฆ่าแมลง ทำวิจัยกันขึ้นมา เอาสารพิษมาฆ่าแม้กระทั่งหญ้า หญ้านี่มีบุญคุณกับดิน เหมือนคนเคารพนับถือย่าเหมือนแม่ของพ่อ หญ้ามีบุญคุณต่อดินมาก คนรุ่นพันปีเขารู้ว่าหญ้ามีประโยชน์ต่อดิน ดินดีเพราะหญ้าโปะ แต่คนยุคเราเป็นยุคที่โง่เขลาที่สุด ทำลายสิ่งที่มีคุณค่าต่อดิน” อาจารย์ยักษ์ กล่าว
วิวัฒน์ อธิบายว่า ที่ใดที่หญ้าที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย กบ เขียด แมลง ฯลฯ แม้กระทั่งในฤดูแล้งที่ผืนดินแตกระแหงก็ยังมองเห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น จึงเรียกว่า “ดินมีชีวิต” เอื้อต่อการเพาะปลูกพืชต่างๆ ให้ออกดอกออกผล จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่การพัฒนาตามแบบตะวันตกซึ่งเอาความโลภนำ ประเทศไทยนั้นพัฒนาจากประเทศด้อยพัฒนาจนเป็นประเทศกำลังพัฒนา และประเทศกำลังพัฒนาปานกลางตามลำดับ โดยหวังว่าท้ายที่สุดจะข้ามพ้นกับดักรายได้ปานกลางกลายเป็นประเทศร่ำรวย
คำถามคือ ในเมื่อประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆ แล้วจะก้าวข้ามไปไหน เพราะการอยู่แบบรวยปานกลางก็นับว่าเหลือเฟือแล้ว “หากรู้จักพอ..จะสร้างความเดือดร้อนให้กับคนด้วยกัน ตลอดจนสัตว์ พืชและธรรมชาติน้อยลง” แต่เพราะความโง่เขลาของมนุษย์หายนะจึงตามมา ประเทศยิ่งพัฒนากลับยิ่งเผชิญวิกฤติ “คนเดี๋ยวนี้เหลือความเป็นมนุษย์น้อยลง..เพราะเห็นแก่ประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง” แม้จะบอกว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่แท้ที่จริงเป็นอัตตาธิปไตย ส่วนสถาบันการศึกษาระดับต่างๆ ก็ล้วนฝึกคนให้เห็นแก่ตัว
“วันนี้คนคิดถึงแต่ตัวเอง โลกก็ไม่รอดถ้าคนเอาตัวเองเป็นหลัก คลองก็จะถูกทับถมหมด คลองในกรุงเทพมหานคร เช่น คลองเปรมประชากร ระยะทาง 50 กิโลเมตร รัชกาลที่ 5 ทรงขุดเอาไว้หวังให้น้ำระบายออก เอาน้ำดีมาใช้ประโยชน์ในเมือง และระบายน้ำเน่า น้ำท่วม ฝนตกระบายออกก็กว้าง 50 เมตร ยาว 50 กิโลเมตร วันนี้ผมเอาเรือไปวิ่งดู เหลือ 5 เมตร ทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ตัวเอง รุกเข้าไปหมด ไม่ยกเว้นแม้กระทั่งวัด แม้กระทั่งโรงเรียน ต่างช่วยกันรุกคลอง ราชการ ชาวบ้าน วัด โรงเรียน รุกเข้าไปในคลอง
จาก 50 เมตร เหลือ 20 เมตรบ้าง เหลือ 5 เมตรบ้าง ในคลองเต็มไปด้วยตะกอนเลน เต็มไปด้วยถุงพลาสติก ทิ้งกันไม่มีใครเอาใจใส่ เอาขยะโยนทิ้งจากตัวเองออกไปหาสังคม ไปหาเพื่อนมนุษย์ ใครจะเดือดร้อนอย่างไรช่างมัน นี่คือจิตวิญญาณของสังคมไทยซึ่งเลวร้ายจนถึงที่สุดแล้ว มันเห็นแก่ตัวจนถึงที่สุด เอาตัวเองรอด ผลักทุกขยะไปเทรวมกันไว้ในคลองซึ่งเป็นที่สาธารณะ โยนไปบนถนนเป็นที่สาธารณะ เป็นของส่วนรวม” วิวัฒน์ ยกตัวอย่าง
อาจารย์ยักษ์ กล่าวสรุปในตอนท้ายถึง “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals-SCGs)” ของ องค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งในข้อ 17 อันเป็นข้อสุดท้ายคือ Partnerships for the Goals หมายถึงความสามัคคีไม่ทอดทิ้งกันของคนทั้งโลก นอกจากนี้ ในปี 2561 ประชาคมโลกยังมีมติต้องหยุดมลพิษในดินให้ได้ หรือก็คือการหยุดการใส่สารพิษลงในดิน (Be the Solution for Soil Pollution) เช่น หยุดยาฆ่าหญ้าฆ่าแมลง หยุดปุ๋ยเคมีจากการสังเคราะห์แล้วเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยจากธรรมชาติ
ขณะที่ในปี 2562 มีเป้าหมายคือ หยุดชะล้างหน้าดิน (Stop Soil Erosion, Save Our Future) ซึ่งการลดการชะล้างหน้าดินสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ขุดคลองไส้ไก่ทำหลุมขนมครก ใช้หญ้าแฝก ห่มฟาง ฯลฯ และในปี 2563 มีเป้าหมายคือ คืนชีวิตที่หลากหลายให้แผ่นดิน (Keep Soil Alive, Protect Soil Biodiversity) หมายถึงการทำให้ดินมีสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย เช่น บนดินไม่ควรปลูกพืชเชิงเดี่ยว ควรปลูกพืชหลายชนิดผสมผสาน เพื่อให้ดินอุ้มน้ำ ลดปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง
“ภัยธรรมชาติ โรคระบาด ความอดอยากข้าวยากหมากแพง และขัดแย้งฆ่าฟันกัน วิกฤตินี้จะหยุดได้ต้องเริ่มจากเคารพแม่พระธรณี รักษาดิน ดูแลดิน ต้นไม้จะคืนมา น้ำจะคืนมา ความร่มรื่นจะคืนมาอาหารอุดมสมบูรณ์จะคืนมา น้ำใจและปัญญาของมนุษย์จะคืนมา” ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ กล่าวในท้ายที่สุด
ด้านวิทยากรอีกท่านหนึ่งในงานครั้งนี้ เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ กล่าวว่า ในบรรดาสิ่งมีชีวิตต่างๆ มนุษย์เกิดหลังสุด ดังนั้นแม้มนุษย์จะอยู่บนยอดแต่หากทำลายสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เป็นฐานลงไปถามว่าสุดท้ายมนุษย์จะอยู่ได้หรือ เพราะมนุษย์ต้องการอาหาร แต่หากแหล่งอาหารเต็มไปด้วยสารพิษแล้วมนุษย์ย่อมไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ยกตัวอย่างแหล่งน้ำในอดีตสามารถดื่มได้ แต่ปัจจุบันคงไม่มีใครกล้าดื่ม เป็นต้น
ส่วนงานในช่วงบ่าย เป็นกิจกรรมเรียนรู้เทคนิคการบำรุงดินทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ โดยมี อาจารย์ยักษ์ เป็นวิทยากร และในช่วงค่ำ มีพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9)พระมหากษัตริย์ที่ประชาชนคนไทยต่างพร้อมใจกันเรียกพระองค์ท่านว่า “พ่อของแผ่นดิน” พร้อมกันกับที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง และที่อื่นๆ ทั่วประเทศ
จากนั้นในวันที่ 6 ธ.ค. 2563 ในช่วงเช้าได้จัดกิจกรรมทำวัตรเช้า ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมมาบเอื้อง เพื่อเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อแสดงความกตัญญูต่อสถานที่ และตักบาตร อาหารอินทรีย์จากเครือข่าย ก่อนจะเริ่มกิจกรรม“มีดีขอเชิญอวด” ซึ่งตัวแทนภาคจะคัดศูนย์กสิกรรมในพื้นที่ที่มีผลงานโดดเด่นมานำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการฟื้นดิน วิธีการชะลอการพังทลายของดิน และความหลากหลายที่เกิดขึ้นจริง โดยการนำภาพถ่ายหรือคลิปวีดีโอในศูนย์ของตัวเองมาเล่าสู่กันฟังแก่คนอื่นๆ ซึ่งจะมีกรรมการ 3 คน คอยให้คะแนน และผู้ชนะจะได้รับรางวัลพิเศษจากอาจารย์ยักษ์
จากนั้นเป็นกิจกรรม “เอามื้อสามัคคี ตอนกสิกรรมสร้างชาติ” จุดเริ่มต้นของการสร้างคน สร้างน้ำ สร้างอากาศ อาหารและความสมบูรณ์มั่งคั่ง โดยเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ครูพาทำ..ทีมสวนล้อมฯ โดยแบ่งกลุ่มทำงาน 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 จะทำหน้าที่ปรับแปลงนาขั้นบันได, กลุ่มที่ 2-5รับผิดชอบทำคลองไส้ไก่ และก่อนพิธีปิดงาน อาจารย์ยักษ์ได้แจกเมล็ดพันธุ์ 9 ชนิด เพื่อให้เครือข่ายนำกลับไปปลูก ปิดท้ายด้วยกิจกรรม “ฟื้นแม่ธรณี..คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน” เป็นการเสร็จสิ้นการจัดงานวันดินโลก ประจำปี 2563 อย่างสมบูรณ์
ภายหลังเสร็จสิ้นการจัดงานแล้ว อาจารย์ยักษ์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ว่า งานวันดินโลก ประจำปี 2563 แบ่งกิจกรรมหลักเป็น 3 ส่วน คือ 1.กิจกรรมเอาดีออกอวดคือการแบ่งปันความสำเร็จ และนำของดีหมู่บ้านตัวเองมาอวดกัน ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ ผลผลิต 2.เรื่องจิตวิญญาณ เพราะเราเชื่อว่ามนุษย์ต่างมีความกตัญญูรู้คุณ และ 3.กิจกรรมน้ำใจ โดยเมื่อเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้เราจะมีแต่การให้ และช่วยเหลือเกื้อกูล เปรียบเสมือนโอเอซิส (Oasis-แหล่งน้ำกลางทะเลทราย)ที่เต็มไปด้วยน้ำ
อีกทั้งยังด้วยย้ำว่า แผ่นดินกำลังวิกฤติจากภัยธรรมชาติ ความขัดแย้ง โรคระบาด ความอดอยากหิวโหย ซึ่งเกิดการน้ำมือมนุษย์ทั้งสิ้น และยิ่งไปกว่านั้น “ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการพึ่งพาตนเอง ดังนั้นมนุษย์ต้องปรับตัวจากความเชื่อเดิมๆ” เปลี่ยนผ่านจากยุคสมัยของการปฏิวัติเขียวที่ทำลายสิ่งแวดล้อมเพื่อการแข่งขันภาคการเกษตร กลับสู่การเป็นส่วนหนึ่งของการเกื้อกูลธรรมชาติ
“มนุษย์เมื่อเคารพดิน ดินก็จะอุดมสมบูรณ์ และตอบแทนผลผลิตแก่เรา เช่น ผลิตน้ำ อาหาร อากาศ เหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) ทรงห่วงใยและตรัสไว้ก่อนเสด็จสวรรคต ว่างานยังไม่เสร็จ โดยเฉพาะเรื่องดิน เพราะถ้าเราทำดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ได้ เราจะกลับมามั่งคั่งและมีความสุขอีกครั้ง ดังนั้นเราต้องหยุดสร้างมลพิษในดิน” อาจารย์ยักษ์ กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี