“ผบช.สตม.” สนองนโยบายนายกรัฐมนตรี-ผบ.ตร.ตรวจเข้ม เฝ้าระวังการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง-ไม่ผ่านคัดกรอง บูรณาการรวบ “โรฮีนจา” โผล่ดอนเมือง สั่ง ตม.ด่านชายแดนส่ง “ชุดสืบ” ร่วมสกัด-ขยายผลล่าล้างขบวนการ พร้อมประชาสัมพันธ์ช่องทางการแจ้งเบาะแส ขอความร่วมมือประชาชนสอดส่องคนแปลกหน้า
6 มกราคม 2564 ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (รองผบช.สตม.) ในฐานะโฆษก สตม. เปิดเผยว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา มีการจับกุมบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1 และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้สนธิกำลังดำเนินการตรวจสอบ เฝ้าระวังบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ และสามารถจับกุมคนต่างด้าวชาวโรฮีนจา หลบหนีเข้าเมืองจำนวนหลายรายในเขตดอนเมือง กรุงเทพฯ และมีการตรวจพบว่ามี 7 ราย ติดเชื้อโควิด-19
นอกจากนี้ได้ตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มคนบางกลุ่มลักลอบกลับเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงบุคคลต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยไม่ผ่านกระบวนการคัดกรองตามขั้นตอนของรัฐ และอาจนำเชื้อเข้ามาแพร่ระบาดภายในประเทศได้ อีกทั้งผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายยังเดินทางไปหลากหลายสถานที่โดยไม่เข้ารับการกักตัว สุดท้ายพบการติดเชื้อภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น
พล.ต.ต.อาชยน กล่าวเพิ่มเติมว่า พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ที่ได้ดำเนินการออกมาตรการคุมเข้มการป้องกันโควิด-19 มาตลอด โดยเฉพาะช่วงนี้จะยกระดับความเข้มในมาตรการป้องกันเป็นพิเศษ พร้อมที่จะรับมือสถานการณ์โควิด-19 ทั่วประเทศ เนื่องจากผู้ติดเชื้อยังคงสูงขึ้นทุกวัน ขณะเดียวกันยังพบว่ามีมีการลักลอบเข้าไทยอย่างผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง จึงได้สั่งการให้เพิ่มความเข้มในการตรวจตราเฝ้าระวัง และกำชับไปยัง ตม.ทุกจังหวัด ให้ปฏิบัติมาตรการที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด และเพิ่มความเข้มในทุกมาตรการในทุกจุดทุกพื้นที่
“สตม.ได้ส่งกำลังเป็นชุดสืบเข้าไปบูรณาการกับท้องที่ที่อยู่ตามแนวชายแดน เพื่อตรวจเข้มตามช่องทางธรรมชาติ ซึ่งการส่งกำลังลงไปประจำจุดพื้นที่นั้นเป็นการลดช่องว่าง และเพื่อจำกัดพื้นที่ของผู้ที่พยายามหลบหนีเข้ามาภายในประเทศได้ และในการจับกุมทุกครั้งจะมีการขยายผลให้ทราบว่าใครเป็นผู้นำพา เป็นคนซ่อนเร้นเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ รวมถึงได้กำชับให้หัวหน้าหน่วย แจ้งกำลังพลทุกนาย ขณะเข้าดำเนินการจับกุมคนต่างด้าวให้สวมชุด PPE ทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และประชาชนทั่วไป พร้อมทั้งหามาตรการป้องกันการติดเชื้อแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานโดยเคร่งครัด” รอง ผบช.สตม. กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1 ในฐานะรองโฆษก สตม. กล่าวว่า ขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนช่วยกันสอดส่องบุคคลแปลกหน้าที่คาดว่าจะเป็นบุคคลที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง หรือพบเห็นในการกระทำผิดในลักษณะนี้เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ของตน ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าทำการตรวจสอบ เพราะทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจไม่สามารถเฝ้าระมัดระวังทุกพื้นที่ตลอดเวลาได้ ต้องอาศัยประชาชนร่วมมือร่วมร่วมใจเป็นเป็นตาให้อีกช่องทางหนึ่งในพื้นที่ โดยสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน สตม. หมายเลข 1178 หรือเว็บไซต์สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง www.immigration.go.th หรือติดต่อได้ที่ทำการ ตม.ในจังหวัดที่รับผิดชอบพื้นที่นั้นได้ทันที โดยขณะนี้ทุกจังหวัดในประเทศไทยมี ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองรับผิดชอบพื้นที่เพื่อดูแลความปลอดภัยและบริการประชาชนทุกจังหวัดแล้ว หรือสามารถแจ้งได้ที่ตำรวจท้องที่ประจำจังหวัดนั้นๆ ได้ทันที
“ขอฝากไว้ว่าคนที่คิดจะลักลอบเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย ขอให้มีจิตสำนึกก่อนที่กระทำความผิดแถมเสี่ยงต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกด้วย และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านวิกฤติโควิดนี้ และเราจะก้าวข้ามผ่านไปด้วยกันโดยเร็ว” พ.ต.อ.ภัคพงศ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี